ภาวะปั่นป่วนหลังการเลือกตั้งทั่วไปในญี่ปุ่น
โดย “รุ่งอรุณ”
การเมืองในญี่ปุ่นกำลังฝุ่นตลบจากการวิ่งเต้นรวมกลุ่มพันธมิตรพรรคการเมืองต่าง ๆ เพื่อจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งเป็นผลจากการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคมที่ผ่านมา ปรากฏว่าไม่มีพรรคการเมืองใดได้ครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร.
1. ผลการเลือกตั้ง
พรรคเสรีประชาธิปไตย (LIBERAL DEMOCRATIC PARTY : แอลดีพี) ซึ่งเป็นรัฐบาลติดต่อกันมาถึง 15 ปี สูญเสียที่นั่งในสภาได้รับเลือกตั้งเพียง 191 ที่นั่ง จากที่เคยได้ 259 ที่นั่งในปี 2564 พรรคร่วมรัฐบาลคือพรรคโคเมโตพ่ายแพ้ยับเยิน ขนาดประธานพรรคคือนายเคอีชิ อีชิอิ ยังไม่ได้รับเลือกตั้งเข้าสภา สองพรรครวมกันได้ 215 ที่นั่ง จากจำนวนเต็มของ สส. 465 ที่นั่ง พรรคที่จะจัดตั้งรัฐบาลต้องได้คะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 233 ที่นั่ง พรรคแอลดีพีจึงขาดไป 18 เสียง เพื่อจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก.
ขณะที่พรรคฝ่ายค้านคือพรรคประชาธิปไตยรัฐธรรมนูญ (CONSTITUTIONAL DEMOCRATIC PARTY : ซีดีพี) ได้จำนวน สส. เพิ่มขึ้นจาก 96 ที่นั่ง เป็น 148 ที่นั่ง แต่ก็ไม่เพียงพอเป็นเสียงข้างมากในสภา พรรคประชาธิปไตยเพื่อประชาชน (DEMOCRATIC PARTY FOR THE PEOPLE : ดีพีพี) ได้รับเลือกมาเป็นอันดับสาม มี สส. 28 คน ส่วนพรรคโคเมโต (KOMEITO) ได้รับเลือกมาเป็นอันดับ 4 ด้วยจำนวน สส. เพียง 24 คน จากเดิม 32 ที่นั่ง พรรคนิปปอนอีชินโนไก (NIPPON ISHIN NO KAI) หรือพรรคนวัตกรรมญี่ปุ่นได้ 38 ที่นั่ง จากเดิม 41 ที่นั่ง.
นายกรัฐมนตรีคนใหม่จากพรรคแอลดีพี คือนายชิเกรุ อีชิบะ (SHIGERU ISHIBA) ซึ่งชนะเลือกตั้งเป็นประธานพรรคแอลดีพีเมื่อวันที่ 27 กันยายน และเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นในวันที่ 1 ตุลาคม ได้ประกาศยุบสภาจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 27 ตุลาคม โดยหวังได้รับเสียงสนับสนุนเป็นอาณัติอำนาจจากประชาชน แต่นายอีชิบะต้องผิดหวังอย่างรุนแรง.
อีชิบะประกาศยอมรับผลการเลือกตั้งว่าเป็น “การลงโทษอย่างสาหัส” จากผู้ออกเสียงลงคะแนน ด้วยท่าที “อ่อนน้อม และจริงจัง” เขาพร้อมจะปฏิรูปภายในพรรคแอลดีพีเพื่อสามารถ “ดำเนินนโยบายตามเจตนารมณ์ของประชาชน”.
2. ทำไมผู้ลงคะแนนชาวญี่ปุ่นเลือกผู้สมัครของพรรคแอลดีพีลดลง ?
ก่อนการเลือกตั้ง 27 ตุลาคม พรรคแอลดีพีประสบวิกฤตรุนแรงหลายครั้ง ปี 2522 อดีตนายกรัฐมนตรีชินโซะ อาเบ (SHINZO ABE) ถูกลอบสังหาร ซึ่งสันนิษฐานว่าฆาตกรผู้ลอบสังหารสังกัดศาสนจักรเอกภาพ (UNIFICATION CHURCH) ซึ่งพรรคแอลดีพีมีความใกล้ชิดสนิทสนมมานาน เกิดการประท้วงจนนายกรัฐมนตรีคิชีดะ (KISHIDA) ต้องปรับคณะรัฐมนตรีถึง 2 รอบ ปลดรัฐมนตรีที่ใกล้ชิดกับศาสนจักรเอกภาพออกจากรัฐบาล.
ต่อมาเกิดกรณีอื้อฉาว เมื่อ สส. ของพรรคแอลดีพีหลายคนยักยอกเงินบริจาคสนับสนุนพรรคอย่างไม่เปิดเผย เข้ากระเป๋าตนเอง ตอนปลายปี 2523 ทำให้คะแนนนิยมของอดีตนายกคิชีดะและพรรคแอลดีพีลดลงอย่างมาก จนพรรคแอลดีพีงดส่งสมัครอดีต สส. ที่พัวพันการยักยอกเงินบริจาคในนามของพรรค แต่ให้สมัครในนามอิสระ.
อย่างไรก็ดี พรรคแอลดีพีเหมือนเล่นละคอนตบตาประชาชน ด้วยการให้เงินสนับสนุนการเลือกตั้งอย่างลับ ๆ แก่เขตเลือกตั้งของอดีต สส. ที่ลงสมัครในนามอิสระ จำนวน 20 ล้านเยนต่อหนึ่งเขตเลือกตั้ง.
พรรคแอลดีพีภายใต้การนำของอดีตนายกรัฐมนตรีคิชีดะไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนได้ เกิดภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง พร้อมไปกับภาวะเงินเฟ้อรุนแรง ค่าเงินเยนตกต่ำเป็นประวัติการ ความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจและอุตสาหกรรมญี่ปุ่นลดลง ครอบครัวคนยากคนจนเพิ่มขึ้น เยาวชนคนรุ่นใหม่ตกงานจำนวนมาก ฯลฯ.
การลงโทษของประชาชนต่อพรรคแอลดีพีจึงแสดงออกในคูหาเลือกตั้ง.
3. ความเป็นไปได้ของการจัดตั้งรัฐบาล
เพื่อช่วงชิงจัดตั้งรัฐบาล นายอีชิบะต้องดึงพรรคการเมืองอีก 1 – 2 พรรคเข้าร่วมรัฐบาล พรรคทางเลือกเช่น พรรคนวัตกรรมญี่ปุ่น ซึ่งมีคะแนนเสียง สส. 38 ที่นั่ง และ/หรือพรรคประชาธิปไตยเพื่อประชาชน ซึ่งมีสมาชิกได้รับเลือกเป็น สส. 28 ที่นั่ง หรือจะรวมพรรคคอมมิวนิสต์ญี่ปุ่นที่มี สส. 8 ที่นั่ง ลดลง 2 ที่นั่งจากการเลือกตั้งครั้งก่อนหน้านี้ นอกนั้นเป็นพรรคเล็กพรรคน้อยที่มี สส. เพียงไม่กี่ที่นั่ง.
การชักชวนพรรคการเมืองอื่นมาร่วมจัดตั้งรัฐบาลจะต้องใช้พลังงานอย่างมาก เพราะแต่ละพรรคเสนอนโยบายที่แตกต่างกัน ตั้งแต่นโยบายอนุรักษ์นิยมขวาสุด จนถึงพรรคคอมมิวนิสต์ญี่ปุ่นซ้ายสุด.
พรรคประชาธิปไตยรัฐธรรมนูญ ซึ่งชนะเลือกตั้งมาเป็นอันดับสองด้วยจำนวน สส. 148 ที่นั่ง มีความหวังที่จะจัดตั้งรัฐบาลเช่นกัน โดยคาดว่าจะร่วมมือกับพรรคที่ชนะเลือกตั้งอันดับสาม บวกพรรคเล็กพรรคน้อยอื่น ๆ แต่คะแนนเสียงยังไม่อาจเป็นเสียงข้างมากในสภาได้.
พรรคแอลดีพีจึงได้เปรียบในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ แต่จะเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากแบบปริ่มน้ำ หรือกระทั่งเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ขึ้นกับการเจรจาต่อรองระหว่างพรรคต่าง ๆ ในช่วงสองสัปดาห์นี้ ก่อนถึงการเปิดประชุมสภานัดแรกเพื่อเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 11 พฤศจิกายน ศกนี้.
4. ปัญหาที่พรรคแอลดีพีภายใต้การนำของนายอิชีบะต้องเผชิญ และแก้ไข
แน่นอนว่าปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องแก้ไข เศรษฐกิจ ญี่ปุ่นอยู่ในภาวะฝืดเคือง เงินเฟ้อรุนแรง ค่าแรงแท้จริงไม่ได้ปรับตามภาวะเงินเฟ้อ ค่าเงินเยนตกต่ำที่สุดในรอบหลายสิบปี ครอบครัวคนยากไร้ต้องการเงินอุดหนุนจากรัฐบาล เศรษฐกิจท้องถิ่นตกต่ำ ตลอดจนปัญหาจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นทุกปี แต่อัตราการเกิดกลับต่ำจนน่าใจหาย.
อีกด้านหนึ่งคือปัญหาความมั่นคงทางการป้องกันประเทศ จากการคุกคามของเกาหลีเหนือ และกรณีพิพาทแย่งชิงดินแดนกับจีน ทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นต้องเพิ่มงบประมาณใช้จ่ายด้านกลาโหมสูงขึ้นทุกปี แล้วจะมีเงินเหลือมาพัฒนาเศรษฐกิจ แก้ปัญหาเงินฝืดเงินเฟ้อ และความยากไร้ของครอบครัวชนชั้นล่างได้เพียงใด ยิ่งหากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เขาจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศพันธมิตรอย่างญี่ปุ่นอีก 10 – 20 % รวมทั้งบีบบังคับญี่ปุ่นให้ออกค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในการรักษากำลังทหารสหรัฐในญี่ปุ่น 50,000 นาย เศรษฐกิจของญี่ปุ่นจะเป็นอย่างไรในสภาวะเช่นนี้.
พรรคประชาธิปไตยเพื่อประชาชน (ดีพีพี) เสนอนโยบายลดภาษีซื้อจาก 10 % เหลือ 5 % จนกว่าอัตราค่าจ้างแท้จริงจะปรับขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อ นั่นคือต้องปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ และไม่เห็นด้วยกับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น พรรคแอลดีพีจะยอมรับนโยบายข้างต้นเพียงใด หากต้องการดึงพรรคดีพีพีเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล.
5. บทสรุป
1. มีความเป็นไปได้ว่าพรรคแอลดีพีจะรวบรวมเสียงสนับสนุนจาก สส. พรรคอื่น ๆ จนจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่จะเป็นรัฐบาลที่ขาดเสถียรภาพ.
2. พรรคแอลดีพีจะเป็นรัฐบาลได้ไม่นาน เพราะการประสานนโยบายที่แตกต่างกันมากทำให้ไม่อาจผลักดันดำเนินนโยบายที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศได้.
3. นายกรัฐมนตรีอิชีบะเติบโตมาจากสายงานการป้องกันประเทศ แม้จะเป็นพลเรือนแต่ก็อยู่ในกรรมาธิการทหาร จนท้ายสุดได้เป็นรัฐมนตรีกลาโหม เขามีนโยบายที่จะเสริมกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่น เพิ่มงบกลาโหม กระชับความร่วมมือทางทหารกับอเมริกาแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
อิชีบะเคยเสนอจัดตั้งพันธมิตรทางการทหารเหมือนองค์การนาโต้ในเขตทะเลอินโด-แปซิฟิค แต่อเมริกาไม่ได้ตอบสนอง ข้อเสนอจึงยุติไป.
ขณะที่อิชีบะคิดว่าจะต้องดำเนินนโยบายสร้างสมดุลความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับจีน ญี่ปุ่นยังต้องพึ่งตนเองเป็นหลัก เพราะท้ายสุดหากเกิดวิกฤตสงคราม ก็ไม่แน่ว่าอเมริกาจะช่วยญี่ปุ่นอย่างสุดกำลัง.
4. การสร้างสมดุลงบประมาณรายจ่ายด้านการทหาร ควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
อุดหนุนครอบครัวที่มีรายได้ต่ำ เพิ่มค่าจ้างแท้จริง ฟื้นเศรษฐกิจท้องถิ่น ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมญี่ปุ่นสู่เทคโนโลยีสมัยใหม่ เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในตลาดโลก ฯลฯ ล้วนเป็นภารกิจที่ยากลำบากยิ่งสำหรับรัฐบาลที่ขาดความเป็นเอกภาพ และไร้เสียงข้างมากในสภา.
สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก