บันทึกเรื่องล้ำในไพรลึก.... ชลธิรา สัตยาวัฒนา ตอนที่ 8 “ความย้อนแย้งของ ‘นายผี’ ผู้เขียน “เราชะนะ” ยามพ่ายภัยพาล”
ชลธิรา สัตยาวัฒนา
การสืบค้นเพื่ออ่าน “ความเป็นนายผี” ในเชิงอัตลักษณ์ชัดเจนขึ้น เมื่อมีพยานบุคคลมาเล่าเรื่องยืนยันข้อเท็จจริงที่ยังเลือนราง บุคคลสำคัญผู้นี้คือ ‘ป้าลม’ คู่ชีวิตของ อัศนี พลจันทร
‘ป้าลม’ มีนามจริงว่า วิมล พลจันทร (ไม่ทราบนามสกุลเดิม) ‘ป้าลม’ รอดพ้นจากการล้อมปราบฐานที่มั่นปฏิวัติเขตน่านเหนือ ที่มีมวลชนพื้นฐานเป็นชนชาติลัวะ (ที่นำโดย พคท.) สร้างอำนาจรัฐเป็นของตนเอง เมื่อทางกองทัพภาค 3 เปิด “ยุทธการสุริยะพงษ์ 4” ปิดล้อมฐานที่มั่น เขต 4 ภูพยัคฆ์ (เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2526) นั้น เพื่อประกันความปลอดภัยล่วงหน้า ฝ่ายนำของ พคท.ได้มีคำสั่งลับให้ทยอยจัดส่งสหายผู้เฒ่า สหายหญิงสูงอายุ บรรดาแม่ลูกอ่อนและเด็กเล็ก รวมทั้งคนป่วยจำนวนหนึ่งให้กลับมาใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาสามัญในเมือง ป้าลมเป็นหนึ่งในจำนวนนั้นที่ “จัดตั้ง” กำหนดให้เดินทางกลับสู่ “อ้อมอกแม่” พร้อมกับขบวนสหายที่ต้องประคับประคองให้อยู่รอดปลอดภัย ยุทธการนี้ส่งผลกระทบรุนแรงที่ทำให้ ‘สหายลม’ ต้องพรากจาก ‘สหายไฟ’ ไปชั่วชีวิต เมื่อมาอยู่ในเมืองและภาวะคลื่นลมสงบลงแล้ว ‘ป้าลม’ และลูกหลานได้เปิดเผยเรื่องราวและหลักฐานเอกสารบางชิ้นของ อัศนี พลจันทร เล่าเรื่องราวยามลี้ภัย มาถึงทศวรรษปัจจุบัน (2560) เราจึงสามารถปะติดปะต่อภาพเลือนรางในอดีตของ ‘นายผี’ ที่คงความลึกลับตามแบบฉบับของ ‘นายผี’ ได้อย่างมั่นใจ
งานนิพนธ์เรื่อง “เราชะนะแล้ว, แม่จ๋า” เป็นงานที่ อัศนี พลจันทร ประพันธ์ขึ้นในสถานการณ์ที่ขบวนการประชาชนฝ่ายสู้เพื่อ “สันติภาพ” กำลังถูกกวาดล้างจับกุมครั้งใหญ่ ‘นายผี’ ต้องหลบหนีการติดตามจับกุมในฐานะผู้ต้องหาคดี “กบฏสันติภาพ” แถมพ่วงด้วยข้อหาเป็นภัยต่อความมั่นคง “มีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์” ซึ่งเป็นบริบททางประวัติศาสตร์สำคัญหน้าหนึ่ง
การเคลื่อนไหวเรียกร้องสันติภาพในประเทศไทยเริ่มมีขึ้นในปี พ.ศ. 2493 โดยรับผลสะเทือนจาก “กระบวนการสันติภาพสากล” ซึ่งจัดประชุมที่กรุงสตอกโฮล์ม เมื่อเดือนมีนาคม 2493 (ค.ศ. 1950)
หนังสือพิมพ์การเมืองรายสัปดาห์ ลงบทความของ ‘สายฟ้า’ ซึ่งเป็นนามปากกาของ อัศนี พลจันทร ใช้เขียนบทความการเมือง ในฉบับเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2493 ‘สายฟ้า’ วิจารณ์นโยบายของสหรัฐอเมริกาว่าคุกคามความสงบสุขของประชาชนในภูมิภาคนี้ ทำให้ชาวไทยเดือดร้อนทุกข์ยากเพราะรัฐบาลไทยเดินตามอเมริกา บทความเรียกร้องให้คัดค้านสงครามรุกรานในเกาหลี และให้ประชาชนร่วมใจกันโดยไม่เลือกเชื้อชาติ ศาสนา ทุกเพศทุกวัย สามัคคีกันยับยั้งสงคราม และคัดค้านการใช้ระเบิดปรมาณู…ให้ถือว่ารัฐบาลที่ใช้ระเบิดปรมาณูในสงครามก่อนเป็นอาชญากรสงคราม
เดือนสิงหาคม ปีเดียวกัน นสพ.การเมืองรายสัปดาห์ เสนอข่าวการเคลื่อนไหวลงนามเรียกร้องสันติภาพตามมติ “สมัชชาสันติภาพสากล” ซึ่งมีประชาชนลงนามสนับสนุนราว 300 ล้านคน จาก 75 ประเทศทั่วโลก
เดือนพฤศจิกายน 2493 นสพ.การเมืองรายสัปดาห์ เสนอข่าวต่อเนื่อง เสริมด้วยการกระตุ้นให้ประชาชนไทยสนใจลงนามสนับสนุน “สันติภาพ” ปรากฏว่ามีประชาชนหลายกลุ่มหลายอาชีพร่วมลงนามสนับสนุน “สันติภาพสากล” กันเป็นจำนวนมาก
นอกจากนั้น หนังสือพิมพ์ข่าวภาพ (ปัจจุบันคือ นสพ.ไทยรัฐ) ได้ลงบทความของ อุทธรณ์ พลกุล (ญาติลูกพี่ลูกน้องของ อัศนี พลจันทร) สนับสนุนการรณรงค์เพื่อการนี้ ประกาศเชิญชวนให้มีผู้ลงนามสนับสนุน “สันติภาพสากล” เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ การรณรงค์เพื่อ “สันติภาพสากล” ได้ขยายตัวเข้าไปในหมู่คณะสงฆ์ วงการข้าราชการ กรรมกร และนักศึกษาประชาชนในส่วนภูมิภาคด้วย จำนวนนับแสนคน (เชาวน์ พงษ์พิชิต. ประวัติพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย, 2565: น.245-246.)
สองปีต่อมา ก็เกิดเหตุวิกฤตขึ้นในวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ.2495 เมื่อทางการเหวี่ยงแห กวาดจับผู้ต้องหาคดี “กบฏสันติภาพ” ผู้ถูกจับกุมที่จะต้องถูกดำเนินคดีในชั้นศาลมีรวมทั้งสิ้น 104 คน ต่อมายังถูกควบคุมตัวเพิ่มอีกหลายคน ในจำนวนนี้มี ท่านผู้หญิง พูนศุข พนมยงค์ และบุตรชายคนโต คือ ปาล พนมยงค์ ด้วย แม้ในรั้วมหาวิทยาลัยก็มิได้ละเว้น มีรายชื่อนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง (ม.ธ.ก.) ถูกประกาศจับถึง 19 คน จับตัวไม่ได้ 3 คนเพราะหลบหนีทัน
“ป้าจัน” (สิริลักษณ์ จันทรวงศ์) อดีตนักศึกษา ม.ธ.ก.รุ่น 2491 ซึ่งเป็นสหายร่วมบุกเบิกก่อตั้งสถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย (สปท.) ผู้ได้ชื่อว่าเป็น “โฆษก สปท.” คนแรกสุด รื้อฟื้นความทรงจำในส่วนนี้ไว้ได้ มีใจความว่า :
“ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2495 นักศึกษาธรรมศาสตร์ถูกประกาศจับกุมในคดี “กบฏสันติภาพ” ร่วมกับสันติชนทุกหมู่เหล่าทั่วประเทศ
จำได้ว่าเมื่อมีการจับกุมในตอนเช้าตรู่วันนั้น…ฉันยังคงมาที่มหาวิทยาลัยตามปกติ และเกรงกันว่าจะมีการจับกลุ่มกันอีก คืนนั้นจึงไม่ได้กลับบ้าน พี่ป้อง (วิภา สุขกิจ) พานั่งรถไวฑูรย์ (สินธุวณิชย์) ตระเวนกรุงจนถึงรุ่งเช้าวันใหม่ เห็นไม่มีเหตุการณ์อะไรอีกจึงกลับบ้าน ที่บ้าน คุณแม่บอกว่าได้เอาหนังสือหนังหาของฉันโยนลงสระน้ำหลังบ้านหมดแล้ว
หลังการจับกุม ตำรวจยังเรียกนักศึกษาไปสอบที่สันติบาลอีกหลายคน ฉันกับ ปาน (ณัญจนา) ก็โดนด้วย ตำรวจที่สอบพวกเราเป็นอัศวินแหวนเพชรทั้งสองคน คาดคั้นถามว่า ‘ใครเรียกประชุมสันติภาพ?’ ตอบ(ตรงกัน)ว่า ‘ไม่รู้’ เขาถามอีกว่า ‘จำหน้าไม่ได้หรือ?’ เราก็ตอบว่า ‘จำไม่ได้ ไม่รู้จัก’ ตำรวจตะคอกลั่น ‘โกหก! สนใจเรื่องนี้ทำไมไม่รู้จัก’ ตำรวจพยายามจะเอาคำตอบให้ได้ จนกระทั่งมีนายตำรวจใหญ่คนหนึ่งผ่านมาแล้วพูดว่า ‘เด็ก ๆ ทั้งนั้น ไม่มีอะไรหรอก’ การสอบจึงยุติลง”
(สิริลักษณ์ จันทรวงศ์. ขึ้นสู้บนภูพยัคฆ์ ปัญญาชนสู่หนทางปฏิวัติ, 2549: น.58-61.)
กรมอัยการได้สั่งฟ้องผู้ต้องหา 54 คน มีทั้งนักการเมือง ปัญญาชน และนักศึกษาบางมหาวิทยาลัย การกวาดจับผู้ต้องหาคอมมิวนิสต์ครั้งนี้ทางตำรวจตั้งข้อหากบฏภายในและภายนอกราชอาณาจักร ต่อมาได้เพิ่มข้อหาคอมมิวนิสต์ การกวาดล้างจับกุมยังดำเนินการต่อเนื่องจนถึงปี 2496 (ค.ศ.1953) มีข่าวการจับกุมและสึกพระภิกษุที่เคยสนับสนุนและเผยแพร่การเรียกร้องสันติภาพในอีกหลายจังหวัด ผู้ถูกจับกุมเช่น ประชาชนตำบลคูซอด จ.ศรีสะเกษ จำนวนกว่าสิบคน และทางใต้อีกหลายสิบคน
การพิจารณาคดีในศาลอาญา ตั้งข้อหา “กบฏ” พ่วงข้อหา “มีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์” เข้าไปด้วย ทั้ง ๆ ที่ขณะจับกุมนั้น “กฎหมายคอมมิวนิสต์” ยังไม่ได้ประกาศใช้ ต่อมาจึงทราบกันภายหลังว่าในรายชื่อ 54 คนที่ถูกจับกุมและดำเนินคดี มีสมาชิก พคท.บางคนรวมอยู่ด้วย เช่น มงคล ณ นคร, ไสว มาลยเวช, สัมผัส พึ่งประดิษฐ์, เปลื้อง วรรณศรี และ ประสิทธิ์ เทียนศิริ โดยเฉพาะ ประสิทธิ์ เทียนศิริ ถูกซ้อมทารุณหนักหน่วงกว่าเพื่อน ตำรวจผู้สอบสวนถึงกับเอามีดโกนกรีดหัวจนเลือดไหล (เชาวน์ พงษ์พิชิต 2565, อ้างแล้ว: น.254-255.)
เหตุที่เรื่องราวบานปลายจากการเคลื่อนไหว “สันติภาพ” ไปพ่วงเอาข้อหา “มีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์” ทางรัฐบาลถือว่า “เป็นภัยต่อความมั่นคงแห่งชาติ” ด้วยนั้น มีผู้วิเคราะห์เหตุการณ์ต่างกันบ้างในรายละเอียด เชาวน์ พงษ์พิชิต ในฐานะผู้ใกล้ชิด เล่าจาก “วงใน” ว่า เป็นเพราะสายส่งของ พคท.คนหนึ่งได้จัดการนำส่ง “เอกสารสำคัญของ พคท.” มัดเป็นหอบ ไปวางไว้ข้างบันไดหน้าโบกี้สถานีรถไฟ บังเอิญตำรวจรถไฟมาพบเข้า จึงควานหาตัวการในขบวนรถไฟสายต่าง ๆ แล้วจับตัว ประสิทธิ์ เทียนศิริ มาได้บนขบวนรถไฟสายใต้ พร้อมกับ “เอกสารสำคัญของ พคท.” ชุดเดียวกันจำนวนมาก ฝ่ายตำรวจนำโดย พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น เมื่อรู้ความชัดเจนว่าเป็น “เอกสารการประชุมสมัชชา 2 ของ พคท.” ก็ตระหนก รีบรายงานผู้นำรัฐบาล คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ทันที ด้วยคาดไม่ถึงว่า พคท.จะขยายตัวมีบทบาทนำการเคลื่อนไหวทางการเมืองมากมายและรวดเร็วถึงเพียงนี้ (เชาวน์ พงษ์พิชิต 2565, น.263.)
[ทั้งนี้มีบางข้อมูลระบุว่า เป็นการประสานงานมาจากประเทศอภิมหาอำนาจที่ต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์โดยตรงในเวลานั้น แต่เนื่องจากยังไม่พบหลักฐานเอกสาร จึงยังไม่ยืนยันความข้อนี้]
จะเป็นด้วยสาเหตุใดเป็นหลัก หรือด้วยเหตุทั้งหลายที่ประดังเข้ามาก็ตาม ในวันรุ่งขึ้น คือ วันที่ 11 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2495 รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็ได้เสนอ “ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์” ผ่านการรับรองแล้วก็ประกาศใช้โดยทันที นับว่าเป็นการจัดการอย่างฉับพลัน ทันต่อเหตุการณ์ สืบเนื่องจากการกวาดล้างจับกุม “กบฏสันติภาพ” เพียงวันเดียวเท่านั้น
คดีความ “กบฏสันติภาพ” สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2498 ศาลยกฟ้องและปล่อยตัวเพียง 5 คน เป็นนักศึกษาเสีย 3 คน ที่เหลือ 49 คนถูกเหมารวมว่าเป็น “ผู้ก่อการกบฏ” ถูกสั่งจำคุกคนละ 13 ปี 4 เดือน เฉพาะผู้ถูกศาลตัดสินว่าเป็น ‘หัวหน้าผู้ก่อการ’ คือ นายณรงค์ ชัยชาญ ถูกศาลสั่งจำคุก 20 ปี
*ต่อมามีการยื่นอุทธรณ์ในขณะที่คดีความยังไม่สิ้นสุด มีการเคลื่อนไหวต่อสู้เรียกร้องกันหลายทาง ด้วยรูปการณ์ต่าง ๆ กัน รวมทั้งการตั้งกะทู้ในสภาผู้แทนราษฎร ในที่สุดรัฐบาลก็จำต้องออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมในโอกาสครบรอบ 25 พุทธศตวรรษ เป็นผลให้ผู้ต้องขังทุกคนในคดี “กบฏสันติภาพ” ส่วนที่ยังตกค้างอยู่ ได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสระเมื่อปี พ.ศ.2500
ท่ามกลางภาวะโกลาหลจากการเหวี่ยงแหจับกุมผู้ต้องสงสัยในข้อหา “กบฏสันติภาพ” และ “ผู้มีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์” แถมยังตามมาด้วย “พรบ.ว่าด้วยการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์” โดยไม่ทันตั้งตัวติดนั้น อัศนี พลจันทร หรือ ‘นายผี’ กลับเป็นผู้ไวต่อสถานการณ์ สามารถประเมินภัยคุกคามได้ล่วงหน้า จึงล่องหนหายตัวรอดพ้นไปจากการกวาดล้างครั้งสำคัญ แม้อยู่ในบัญชีรายชื่อที่ทางการหมายหัวไว้ก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า เชาวน์ พงษ์พิชิต ก็บันทึกประวัติตนเองไว้ว่าไม่ถูกจับกุมเช่นกัน โดยตั้งข้อสงสัยส่วนตัวว่า ทางการอาจจงใจปล่อยตัวไว้ เพื่อสืบหาเส้นสายกลในของ พคท.ในระยะต่อไป (เชาวน์ พงษ์พิชิต 2565: น.263-265.)
ระหว่างหลบลี้หนีภัยพาล แม้ใจยังไม่สงบ แต่ก็เป็นโอกาสที่ได้ ‘เว้นวรรค’ จากการงานหน้าที่ประจำและภาระทางครอบครัว ปรากฏว่า อัศนี พลจันทร สามารถใช้เวลาช่วงนี้ สร้างสรรค์งานกวีนิพนธ์ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตได้เป็นผลสำเร็จถึงสองชิ้นงาน คือ “เราชะนะแล้ว, แม่จ๋า” กับ “ความเปลี่ยนแปลง” ต้นฉบับงานเขียนทั้งสองชิ้นนี้ยังไม่ได้โอกาสตีพิมพ์จนถึงระยะก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เมื่อเวลาล่วงเลยมาราว 20 ปีแล้ว จึงเริ่มมีผู้นำเนื้อหาบางส่วนของสองชิ้นงานนี้มาเผยแพร่อย่างลับ ๆ ในลักษณะเป็น “บทคัดสรร” เพียงบางตอน
“เราชะนะแล้ว, แม่จ๋า” เป็นวรรณคดีคำฉันท์ที่ ‘นายผี’ แต่งอวดฝีมืออย่างอลังการ ด้วย “ศิลปาการแห่งกาพย์กลอน” ได้รับการพิจารณาจัดพิมพ์เป็นครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์อักษรวัฒนา ของคุณอารีย์ พื้นนาค เมื่อ พ.ศ. 2501 ต่อมาจึงได้มีการจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มหนังสืออย่างสมบูรณ์ครบถ้วนเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2517 และอีกราว 40 ปีต่อจากนั้น ก็ได้จัดพิมพ์เผยแพร่และประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวางในวาระ 95 ปี ชาตกาล อัศนี พลจันทร เมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ.2556 นับว่าเป็นเอกสารงานต้นฉบับวรรณคดีคำฉันท์ฉีกกรอบ ที่ต้องระหกระเหินเดินทางไกล ผ่านวิกฤตการเมืองมาหลายสมัยอย่างไม่น่าเชื่อ
ต่องานเขียนชิ้นนี้ “ศรีอินทรายุธ” (ซึ่งต่อมาก็เป็นที่ทราบกันในหมู่นักอ่านว่าคือ นามปากกาที่ อัศนี พลจันทร ใช้เขียนงานด้านวรรณคดีวิจารณ์) ได้เอ่ยถึงงานกาพย์กลอนเรื่องนี้ไว้ แต่เพียงเงาราง ๆ ว่า:
“… การเลือกแบบวิธีการเขียนให้สอดคล้องกับเนื้อความที่เขียน ตัวอย่างหนึ่งก็คือ กาพย์กลอนเรื่อง ‘เราชะนะแล้ว แม่จ๋า’ ของนายผี, อันเปนกาพย์กลอนที่ผูกเปนเรื่องยาวเรื่องหนึ่ง ซึ่งสท้อนชีวิตการยืนหยัดต่อสู้ของกรรมกรโรงเลื่อยแห่งหนึ่งในอดีต” (เขียนตัวสะกดตามต้นฉบับ)
เมื่ออ่านตลอดทั้งเรื่อง ได้ภาพว่า ‘นายผี’ ผูกเค้าโครงเรื่องขึ้นเป็นเรื่องราวชีวิตกรรมกรหญิงในโรงเลื่อยแห่งหนึ่ง ภายในเรื่องมีตัวละครที่เป็นแม่และน้องชายของเธอด้วย
‘ป้าลม’ คู่ชีวิตของ ‘นายผี’ เสริมความเข้าใจเพิ่มว่า “ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นถึงที่มาของกาพย์กลอนเรื่องเอกของคุณอัศนีว่า มีเค้ามาจากเหตุการณ์จริงของการต่อสู้ของกรรมกรสตรีชื่อ ‘เล็ก’ แห่งโรงเลื่อยบริษัทอีสต์เอเซียติค”
นายผีเปิดฉากเล่าเรื่องเป็นกวีนิพนธ์คำฉันท์
‘สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ ๑๙’
อ้าราตรีขณะนี้ มิมี สิ นะสำเนียง
แสนเงียบ บ่ งึมเสียง สงัด
อ้าราตรีขณะนี้ สิ พฤกษะ บ่ สบัด--
ใบ ลม บ่โลมพัด และพาน
อ้าราตรีขณะนี้พิกล กล(ะ)พิการ
ดาวเดือนบันดาล หาย ฤเห็น
เห็นแต่แสง นยนา อนาถ(ะ)และลำเค็ญ
คราวปริบ กระพริบเป็น ประกาย
มีแต่แม่ แลมามอง ตระกอง กร(ะ)บ่ คลาย
เคลื่อนบุตรอันสุดสาย สวาท
ยินแต่บุตรอันคราง ระคาง กล(ะ)จะขาด
ใจหวาด ผวาวาบ วะหวำ
อ้ออ้อ ลมยังระรวยระทวย บ่รู้จะทำ
ท่าไรตะลึงคลำ บ่คลา
หาหา ยาจะมายา แลยาก็บ่มียา
ไยหาบ่ซื้อหา ฤๅเห็น
อ้ออ้อ หมอ ก็บ่มีและนี่ใครนะจะเอ็น--
ดู เอื้ออำนวยเป็น ประโยชน์
ค่ายาแม่ก็บ่มีและนี่ใครนะจะโปรด
ลูกแม่ให้ปราโมทย์ ฤมี
คลำใต้เสื่อ บ่มิสบ ก็ทบ ทุข(ะ)ทวี
อกเต้นดั่งตี ปลา ในแปลง
——
*คำอธิบายชี้แจงโดยผู้แต่ง ว่าด้วย “คำซ้ำ” ที่มีความหมายต่างกันสองชุด คือ ชุดคำ ‘ยา’, และชุดคำ ‘หา’
ชุดคำซ้ำ ‘ยา’ :
ยา = คำนาม แปลว่า ยา
ยา = คำกริยา หมายถึงเยียวยารักษา
ยา = ประทัง เช่น หาอะไรมายาไส้หน่อยสิ = หาอะไรมา ประทัง ความหิวหน่อยสิ.
ชุดคำซ้ำ ‘หา’ :
(ไย)หา!! = ทำใม หา/ฮ้า,ทำใมหวา หา ในที่นี้เป็นคำอุทาน
หา = ซื้อ เช่น ซื้อหา
หา = (หาฤาเห็น) หาในที่นี้ แปลว่า ค้นหา
นายผีเล่นการซ้ำคำ ‘ยา’ และคำ ‘หา’ ในแต่ละชุดถึงสามความหมาย ด้วย ‘สัททุลวิกกีฬิตฉันท์’ เพียงหนึ่งบท คือ
“หาหา ยาจะมายา แลยาก็บ่มียา
ไยหาบ่ซื้อหา ฤๅเห็น”
ตอนท้ายของความท่อนนี้ ได้อธิบายความหมายของสำนวนไทย “ตีปลาในแปลง” ไว้ด้วย
คำฉันท์ข้างต้น มีผู้ถอดความหมายเป็นบทร้อยแก้วงดงามไว้ว่า:
“...ในราตรีอันพิกลพิการเงียบสงัดราตรีหนึ่ง ไม่มีแม้แสงดาวและแสงเดือน มีก็เพียงแสงอนาถแห่งนัยน์ตาของลูกน้อยและแม่ มองดูกันด้วยความรันทดและสิ้นหวัง ผู้เป็นลูกน้อยนั้นป่วยหนักและกำลังจะจากโลกไป ฝ่ายแม่ซึ่งกำลังเจ็บนั้นเล่า สุดจะหาหยูกยามาหยุดความตายของลูกน้อย เธอผู้เป็นพี่เป็นกรรมกรหญิงโรงเลื่อย เป็นผู้นำการต่อสู้ของเพื่อนกรรมกร จะต้องไปร่วมการต่อสู้นัดหยุดงานประท้วงของเพื่อนกรรมกร”
ยานี ๑๑ (ลีลา อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑)
"เพื่อน้อง นี่มาเจ็บ ก็ประจักษ์ ว่ายากใจ
จักปอง แลมองไป ก็ปั่นป่วน อยู่รวนเร
กำลัง แม่อิดโรย ละเหี่ยโหย ให้โผเผ
ลุกนั่ง ยังโงเง ด้วยหง่อมงุ้ม อยู่งันงัน
อุ้มน้อง อันนอนแบบ กับอกแนบ บ่จำนรร--
จา นิ่ง คำนึงอัน-- ใดแลแม่ มาทรมาน
น้ำตา แม่ตกต้อง ทั้งสองแก้ม ยิ่งสงสาร
แม่จ๋า อย่าทนทาน ให้ทุกข์ท่วม บ่ทานทน
อ้าน้อง นี่มาไข้ ยิ่งเจ็บใจ ในความจน
แม่ลูก เราสามคน จะกอดคอ เข้าคร่ำครวญ"
ใจความจากคำฉันท์ท่อนข้างต้น เป็นเรื่องราววีรภาพของกรรมกรหญิง ตัวละครเป็น ‘วีรสตรีกรรมกร’ ที่แบกรับภารกิจทางชนชั้น เข้าร่วมต่อสู้เพื่อค่าแรงงานที่เป็นธรรมกับผองเพื่อนกรรมกรด้วยกัน แต่เธอก็มีภาระหนักหน่วงในครอบครัวตัวเอง ต้องดูแลแม่ที่แก่เฒ่าแล้วและน้องชายก็กำลังป่วยหนัก “แม่” ของกรรมกรหญิงเป็นภาพ “แม่ในอุดมคติ” ซึ่งนายผีทดเทิดสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อแทน “ความเป็นแม่” ของคนทั้งหลาย รวมทั้ง “แม่” ของตนเอง ที่ได้โหยหามาทุกเมื่อเชื่อวัน “แม่” ในเรื่องจึงเป็นตัวแทนความรักที่เสียสละเพื่อลูกและทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นแบบอย่างเชิงอุดมการณ์ที่ปลุกปลอบเป็นกำลังใจให้ลูกกรรมกรหญิงต่อสู้เพื่อส่วนรวมอย่างมุ่งมั่น ต่อมาผู้เป็นน้องชายได้จบชีวิตลงโดยไม่อาจมีใครยื้อยุดไว้ได้เพราะความลำเค็ญ ทั้งสามจึงตระกองกอดกันร่ำไห้โดยที่ร่างหนึ่งปราศจากชีวิตแล้ว แต่อีกสองร่างยังคงจะต้องต่อสู้กับความลำบากยากเข็ญต่อไป
กาพย์ฉบัง ๑๖
“สามร่างสามรักสามลาญ สามพ่ายภัยพาล
ลำพังเพราะไร้ลำเค็ญ
สามแสนลำบากยากเย็น สามแม้เมื่อเป็น
ประดุจ(ะ)สามยามตาย
สามกายสอดกอดสามกาย กายหนึ่งนั้นวาย-
ชีวิตแต่สองยังทรง
ดำรงชีพิตคือผง- คลีดินดำรง
ประดาษอยู่เพี้ยงร่างผีฯ”
แต่เรื่องราวมิได้จบลงเพียงนั้น กรรมกรหญิงไปต่อสู้ร่วมกับเพื่อนกรรมกรตามที่แม่บอกให้ไป ไม่ต้องห่วงแม่ เธอนำการต่อสู้จนเจ้าของโรงเลื่อยยินยอมเจรจา อ่อนข้อให้แก่ข้อเรียกร้องของกรรมกร จนสามารถรอมชอมผลประโยชน์ให้กันได้บางข้อ แต่ทว่าเมื่อกลับถึงที่พักก็พบว่าแม่ผู้ชราภาพและป่วยอยู่นั้น ได้ตายจากไปแล้ว…
ในตอนที่ว่านี้ ‘นายผี’ ขยับจากการเล่นกับชุดคำบอกจำนวนนับ ‘สาม’ ในบทกวีท่อนต้นที่ว่า ~ ‘สามร่าง สามรัก สามลาญ สามกาย สามยามตาย’ มาเล่นกับ ชุดคำบอกจำนวนนับ ถึงหลัก ‘แสน’ ซัดซ้ำด้วยคำชุดเสียง /ส/ ซึ่งเสริมส่งความสร้อยเศร้าให้ซับซ้อนท่วมท้น :
กาพย์ฉบัง ๑๖
“แสนแค้นแสนเคียดแสนระคาง แสนป่วยใจปาง
ประจักษ์ว่าแม่มามรณ์
แสนรักแสนโรคแสนรอน แสนทุกข์ท่วมทอน
สุดแสนถวิลจินดา
สุดจะร่ำรำพันพรรณนา เสียงศัลย์สหสา
ก็สุดสระอื้นอาลัย”
ความทุกข์ระทมท่วมท้น จน ‘แสนแค้นแสนเคียดแสนระคาง’ นี้ นายผีส่งต่อเสียง ‘ค’ ที่แสนระคางระคาย ให้รับด้วยเสียง ‘ข’ แห่งความขื่นขมเคียดแค้น คือ
“ขืนคิดคิดขืนคืนไป ขืนจักเข้าใจ
ว่าแม่ยังมีชีวา
เคียดคลุ้มอุ้มแม่ขึ้นมา กระซิบ..."แม่จ๋า"
เราชะนะแล้ว...แม่จ๋า"
สาระสำคัญของคำฉันท์เรื่อง “เราชะนะแล้ว, แม่จ๋า” สะท้อนให้เห็นชีวิตยากเข็ญของเหล่ากรรมกรที่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายทุน พร้อมกันนั้นก็ชี้ให้เห็นจุดยืนแน่วแน่และจิตใจเสียสละของ ‘ผู้หญิง’ เด็ดเดี่ยวสองคนแม่ลูก เป็นการแสดงเชิงสัญญะให้เห็นว่า ‘ผู้หญิง’ จำนวนครึ่งค่อนโลกได้แบกรับภาระอันหนักหน่วงที่ “โลกลืม” ไว้อย่างวีรอาจหาญ~ แม้ด้วยความทุกข์ระทมขมขื่นและเคียดแค้น การประกาศชัยชนะของกรรมกรหญิงจากการประท้วง เท่ากับเป็นการเปิดโปงความอัปลักษณ์ของระบอบสังคมทุนนิยมที่นำไปสู่ชะตากรรมรันทดอันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ในชีวิตจริง รูปแบบลงตัวสมบูรณ์เป็นเอกภาพทางศิลปะของการนำเสนอเช่นนี้ ถือเป็นวรรณคดีแนวสัจนิยมที่มีลักษณะ “ต้นแบบ” อันหาได้ยากยิ่งนักสำหรับสังคมไทยที่มี “สถาบันเชิงอำนาจนิยม” กดทับรุนแรงซับซ้อนหลายชั้น
“เราชะนะแล้ว, แม่จ๋า” เป็นงานประพันธ์คำฉันท์เข้าขั้นเป็น “กวีนิพนธ์” ที่มีสารัตถะความคิดการเมืองเข้มข้น ทว่าเร้าอารมณ์และเปี่ยมล้นด้วยแรงบันดาลใจ อัศนี พลจันทร สื่อสารความนัยออกมาในรูปแบบเรื่องเล่าขนาดยาวพอเหมาะ มีเอกภาพของการประกอบเรื่องเป็นบทละครตรงตามหลักการแต่งบทละครโศกนาฏกรรมแนวคลาสสิก ที่มีแบบแผนเคร่งครัดสืบเนื่องกันมาตั้งแต่สมัยกรีกโรมันเฟื่องฟูศิลปะการละคร โดยมีตัวละครเพียงสามตัวเป็นหลักในการเดินเรื่อง ในแต่ละองก์แต่ละฉาก บทบาทของตัวละครเชื่อมโยงถึงกันตั้งแต่ต้นจนจบอย่างกลมกลืนเป็นเอกภาพ (Unity)
ในแง่แบบแผนวรรณคดีไทยแนวจารีตนิยม เป็นการแต่งคำประพันธ์ไทยอย่างประณีตบรรจง เคารพฉันทลักษณ์ตามแบบแผนอย่างเคร่งครัด โดยมีการเล่นคำแพรวพราว และเล่นความซับซ้อน ด้วย ‘กวีวจนะ’ ที่มีสุนทรียภาพของถ้อยคำ สื่อเสียงเสนาะโสต เสนอภาพพจน์ลักษณะต่าง ๆ ด้วยสีสันและความเคลื่อนไหว ในฉากแต่ละเหตุการณ์ กวีวางบทบาทตัวละครให้พูดจาขานรับ ประสานความคิดและความรู้สึกให้สอดคล้องกันอย่างกลมกลืน เรื่องราวสดุดีการต่อสู้ของชนชั้นกรรมกรที่เขียนเป็นเรื่องเล่าขนาดยาวนี้ มีตัวละครเอกเป็น ‘กรรมกรหญิง’ ที่ต้องดูแลแม่ผู้ชราและน้องชายที่กำลังป่วยหนัก แก่นเรื่องที่ร้อยสอดบทบาทตัวละครและประเด็นปัญหาภายในเนื้อเรื่อง แสดงจุดยืนทางการเมืองและโลกทัศน์ทางชนชั้นของกรรมกร ผู้อุทิศแรงกายแรงงานสร้างโลก
งานยิ่งใหญ่ชิ้นนี้เป็น “งานนิพนธ์ต้นแบบแนวอุดมคติ” ที่ถือได้ว่าเป็น “ศิลปะวรรณคดีเพื่อประชาชน” ที่สะท้อนจิตสำนึกทางชนชั้น การต่อสู้ทางชนชั้น และอุดมการณ์อันสูงส่งเพื่อประชาชนคนทุกข์คนยาก สมตามคำเทิดเกียรติยกย่องของ จิตร ภูมิศักดิ์ ว่า อัศนี พลจันทร เป็น ‘มหากวีของประชาชน’
ในแง่ของการสำรวจสถานภาพองค์ความรู้ด้าน “วรรณคดีศึกษา” ในวงวิชาการไทย สมควรบันทึกไว้ว่า การเล่าเรื่องราวว่าด้วยชีวิตและการต่อสู้ของสามัญชนโดยเฉพาะชนชั้นกรรมกร ใน “เราชะนะแล้ว, แม่จ๋า” ควรถือได้ว่าเป็นผลงานวรรณคดีไทยร่วมสมัยแนวนวัตกรรมสังคม “เพื่อประชาชน” ฉบับแรก ที่ฉีกกรอบแบบแผนวรรณคดีไทยแนวศักดินาจารีตนิยมดั้งเดิม
ในกาลครั้งหนึ่ง ‘นายผี’ เคยปรารภเป็นบทกวี “วรรคทอง” ไว้ว่า
“หนึ่งศรีปราชญ์ เปรื่องฟุ้ง กาลกรุงเก่า
สอง..ตัวเรา ลือเลื่อง เขื่องขยาย
คนที่สาม แสนประเสริฐ สุดเพริดพราย
แต่เสียดาย ตัวยังไม่ ได้เกิดมา”
กลอนบทนี้ สะท้อนความเป็นอหังการของกวี ที่ ‘นายผี’ แต่งขึ้นในวาระครบรอบ 6 ปี นิตยสารสยามสมัย สะท้อนให้เห็นว่า ‘นายผี’ รู้ตัวดีถึงอัตลักษณ์ “ความเป็นกวี” แบบตนที่ยากจะมีใครทาบได้ การกล่าวถึงตัวเองในลักษณะที่วางตนเป็น ‘หนึ่ง’ ใน “สามกวี” แห่งกรุงสยาม โดยยกท่านแรกว่าเป็น ‘ศรีปราชญ์’ เมื่อครั้ง ‘กรุงเก่า’ คือกรุงศรีอยุธยา คนที่สองคือตัว ‘นายผี’ เองที่ “ลือเลื่องเขื่องขยาย” ส่วนคนที่สาม ‘ยังไม่เกิด’ (ในขณะ ‘นายผี’ เผยวจีอหังการนั้น) คงจะไม่ผิดไปจากวาจาที่คาดการณ์ เพราะเกณฑ์ที่ตั้ง “ศรีปราชญ์’ ไว้ ย่อมสื่อความนัยว่า นอกจากชั้นเชิงกวีจะต้องสุดยอดแล้ว “กวีศรีสยาม” ต้องเยี่ยมยุทธ์วางตนเป็น ‘กบฏ’ ต่ออำนาจเหนือตนด้วย ดังเช่นที่ศรีปราชญ์ก็เคยลั่นวาจาอมตะไว้ “วรรคทอง” แต่ครั้งกรุงเก่าของ “ศรีปราชญ์” ที่จดจำรำลึกเล่าขานกันมา คัดจากบทโคลงสี่สุภาพที่ว่า
“หะหายกระต่ายเต้น ชมแข
สูงส่งสุดตาแล สู่ฟ้า
ฤดูฤดีแดสัตว์สู่ กันนา
อย่าว่าเราเจ้าข้า อยู่ฟ้าเดียวกัน”
ศรีปราชญ์เป็นตัวแทนกวียุค ‘ศักดินา’ กรุงเก่า ที่ไม่ยอมสยบสามิภักดิ์ต่อ “เจ้า” และยืนยันว่า “เจ้ากับข้า” ต่างก็อยู่ ‘ฟ้าเดียวกัน’ ในยุคสมัยที่ ‘นายผี’ มีชีวิตอยู่นั้น ก็มีเพียงกวีหนึ่งเดียวคือ ‘นายผี’ เท่านั้น ที่กล้าเขียนท้าทายและท้าชนระบอบศักดินาสวามิภักดิ์ โดย ‘นายผี’ เองก็ตั้งความปรารถนาที่จะให้มี “กวีศรีสยาม” คนที่สามแจ้งเกิด แต่ในเวลานั้น ‘เขา’ ยังไม่เกิด
บันทึกขบวนการปฏิวัติของ พคท. ในส่วนของชีวิตการจัดตั้ง “สมาชิกสันนิบาตเยาวชนแห่งประเทศไทย” เชาวน์ พงษ์พิชิต ได้ไขปริศนาข้อนี้ให้กระจ่างในเวลาต่อมาว่า ‘นายผี’ ได้พบว่า “กวีศรีสยาม” คนที่สามได้แจ้งเกิดแล้ว บทกลอนข้างต้นจึงมิใช่การแสดง ‘ความอหังการของกวี’ แบบวางตนเขื่องเพราะหลงตัวเอง ก่อน ‘นายผี’ ล่องหนหายตัวไป เชาวน์ พงษ์พิชิต ได้ประสานชักนำให้ ‘กวีหนุ่ม’ เยาวชนคนหนึ่ง ได้มีโอกาสพบ ‘นายผี’ ตามที่เขาเรียกร้อง เป็นกระบวนก่อนที่หนุ่มน้อยคนนี้จะตัดสินใจเข้ารับการจัดตั้งเป็น ‘สมาชิกสันนิบาตเยาวชน (พิเศษ)’ หลังจากปล่อยให้คุยกันเองตามลำพังราวสองชั่วโมงแล้ว ‘นายผี’ ได้เปล่งวาจากับ เชาวน์ พงษ์พิชิต ว่า “กวีสยาม” คนที่สาม ‘เกิดแล้ว’
บุคคลผู้นี้คือ “จิตร ภูมิศักดิ์” กวีการเมืองหนุ่มไฟแรง ที่ได้มีโอกาสพบ ‘นายผี’ ในช่วงปลายทศวรรษ 2490 ต่อมาในปี 2500 มีการกวาดล้างจับกุมบุคคลที่เป็นนักคิด นักเขียน กวี ศิลปิน ปัญญาชน ครั้งสำคัญอีกคำรบหนึ่ง ในคราวรัฐประหารปี 2500 นี้ “จิตร ภูมิศักดิ์” ถูกติดร่างแหไปด้วย และถูกจับขังในคุกลาดยาวพร้อมกับนักคิดนักเขียนนักต่อสู้อีกหลายคน เช่น นายทองใบ ทองเปาวด์ (ทนายความเพื่อประชาชน) ทวีป วรดิลก (กวี นักประวัติศาสตร์) และ ประวุฒิ ศรีมันตะ (นักอักษรศาสตร์ผู้ชื่นชอบปรัชญา เพื่อนร่วมรุ่นของ จิตร ภูมิศักดิ์) [เชาวน์ พงษ์พิชิต. ประวัติพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย, 2565: น.239-241.]
ผู้ที่รอดพ้นจากการกวาดจับครั้งสาหัสนี้คือ ‘นายผี’ กวี ศรีสยาม คนที่สอง ผู้ล่องหนหายเข้ากลีบเมฆได้เหมือนอย่างเคย.
——
หมายเหตุ:
1. การลี้ภัยสงครามปราบปรามประชาชน ใน ”ยุทธการสุริยะพงษ์ 4” ของ ‘ป้าลม’ อาจจะเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่ ‘สหายป้าน้ำ’ ก็ต้องจากพราก ‘สหายดิน’ นักปฏิวัติอาวุโส ทั้งสองท่านเป็น ‘สหายนำ’ อีกคู่หนึ่ง ที่ควรจะมีการนำประวัติมาเล่าขานต่อไปเมื่อโอกาสอำนวย
2. ประวัติการรับราชการของ "พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์"
*เริ่มเข้ารับราชการครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2474 ในตำแหน่งยศนายร้อยตรี
*พ.ศ. 2486 เป็นทหารคนสนิทของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความใกล้ชิดจอมพล ป. พิบูลสงคราม มาก จนกระทั่งจอมพล ป. ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
*พ.ศ. 2485 เป็นผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
*พ.ศ. 2487 เป็นเจ้ากรมเชื้อเพลิง และลาออกจากราชการเป็นการชั่วคราว
*พ.ศ. 2491 กลับเข้ารับราชการ โดยโอนมาอยู่กรมตำรวจ
*พ.ศ. 2493 (3 มิ.ย.) ได้รับพระราชทานยศเป็น พลตำรวจโท
*พ.ศ. 2494 (10 ก.ค.) เป็นอธิบดีกรมตำรวจ
*พ.ศ. 2494 (11 ธ.ค.) เป็นรัฐมนตรี และเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตราธิการ
*พ.ศ. 2495 (21 ก.ค.) ได้รับพระราชทานยศเป็นพลตำรวจเอก
*พ.ศ. 2496 (4 พ.ค.) ได้รับพระราชทานยศ พลเอก และรับพระราชทานตำแหน่งนายทหารพิเศษประจำ กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์
*พ.ศ. 2497 (16 ก.พ.) เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
*พ.ศ. 2499 ได้รับพระราชทานยศ พลเรือเอก และ พลอากาศเอก
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
โปรดติดตามและมีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก