ทางแยก - ไหมลี (๒๒)
มุ่งแปลกใจที่ได้พบวิชิต สหายนักรบม้งจากกองทหารหลักที่เขาเคยสังกัด
แต่หลังรายงานผลการเชื่อมเขตจบ มุ่งก็ได้คำตอบพร้อมๆกับใจหล่นวูบเมื่อสหายคำบอกข่าว ...
“เอ่อ ... สหายมุ่ง จัดตั้งให้แจ้งคุณว่าเสร็จภารกิจรอบนี้แล้ว คุณต้องกลับกองร้อย ๗๘ นะครับ”
“กองทหารหลักจัดกำลังกันใหม่ มีภาระงานที่ต้องการให้สหายไปช่วย”
“แล้วงานการทหารของหน่วยนี้ล่ะครับ ...”
“สหายวิชิตจะมาแทน”
มุ่งพยักหน้างงๆ สหายไฟทำหน้างงพอกัน
หลังแจ้งภาระงานรอบนี้ซึ่งคือ การส่งบุคคลสำคัญข้ามไปเขตงานพี่น้อง
สหายคำกำชับมุ่งและสหายไฟว่า ...
“สหายวิชิตจะเริ่มงานกับพวกคุณตั้งแต่รอบนี้เลยนะครับ ...”
เย็นนั้นมุ่ง สหายไฟและสหายวิชิตหารือกันเคร่งเครียด
เพราะเป็นครั้งแรกที่จะพาคนข้ามเขตงาน การวางแผนต้องรัดกุมที่สุด
สหายที่ต้องพาไปส่งเป็นสหายปัญญาชน ๘ คน ถือเป็นขบวนใหญ่ทีเดียว
เสร็จการหารือ ค่ำนั้นมุ่งและสหายไฟก็แจ้งรายละเอียดการเดินทางกับสหายทั้งหมด
“ส่วนมากเราจะเดินกลางคืนนะครับ งดใช้ไฟฉาย เดินตามกันดูคนหน้าเป็นหลัก ถ้าหลงก็ใช้โค๊ดที่บอกเมื่อกี้”
“พักให้เต็มที่นะครับ พรุ่งนี้เราจะปลุก ตื่นแล้วเก็บของให้เรียบร้อย กินข้าวเช้าเสร็จเราจะออกเดินทาง”
รุ่งขึ้นพอฟ้าสว่าง ขบวนเดินทัพก็เคลื่อนพล
เป้าหมายที่ตกลงกันไว้ ... คืนนี้จะไปนอนที่ฐานจรยุทธ์
เช้านี้จะเดินเลาะลำห้วยแล้วตัดขึ้นสันภู ช่วงบ่ายๆถึงป่าเลาแล้วพักรอ ค่ำค่อยเดินต่อ
แต่เอาเข้าจริง ผ่านไปไม่ถึงครึ่งวัน ... การเดินแบบล้มลุกคลุกคลาน
ต้องหยุดพักแทบทุกครึ่งชั่วโมง พักปั๊บคุยปุ๊บช่างซักช่างถาม โน่นนี่นั่น
โดยเฉพาะคำถามที่ยิ่งเดินยิ่งถามถี่ ...
“อีกนานไหมสหาย ...”
ทำเอามุ่งและสหายในหน่วยเริ่มมองตากันด้วยความกังวล
ยังดีที่ถึงเขตป่าเลาเอาเมื่อพลบค่ำ
รอบนี้ ไม่ต้องพักรอเหมือนทุกครั้ง ถึงป่าเลาแล้วเดินต่อเลย
กว่าจะถึงฐานจรยุทธ์ที่พักคืนแรก ก็เกือบรุ่งสาง
สหายแต่ละคนอ่อนเปลี้ยเพลียแรงจนน่าเห็นใจ
หน่วยของมุ่งที่คล่องแคล่วกว่า ช่วยผูกเปลให้สหายได้รีบพักผ่อน
บ่ใจกับสหายดงช่วยกันหุงข้าวเตรียมเผื่อไว้สำหรับวันรุ่งขึ้นทั้งวัน
เพราะตามแผน คืนพรุ่งนี้จะต้องข้ามถนนไปอีกฝั่งให้ได้
เพื่อจะไม่พลาดนัดหมายในตอนบ่ายอีกวัน กับสหายเขตงานพี่น้อง
๓ วัน ๒ คืน กับภารกิจส่งสหายข้ามเขตงาน
มุ่งจับมือลาสหายกอง ๔๐๒ โล่งอกที่ภารกิจราบรื่น
แต่ก็ใจหาย เมื่อได้ยินสหายเดี่ยวบอกตอนโบกมือลา
“เจอกันเดือนหน้านะครับ ...”
“กอ อา กา ... ตอ อี ตี ... งอ อู งู ... กา ตี งู”
เสียงครูดงอ่านนำนักเรียนบ่ใจ ที่กำลังก้มหน้าก้มตาดูตัวหนังสือบนกระดาษ
ขณะสหายธงนั่งเช็ดปืนแก๊ปเตรียมขึ้นภูยิงนก กระรอกกระแต มาเป็นกับข้าว
ไม่ไกลนักสหายไฟนั่งโยกเปลกล่อมตัวเองเงียบๆ
แม้กิจวัตรที่ฐานจรยุทธ์จะไม่ต่างจากที่เคยเป็นเคยทำ
แต่คำสั่งให้มุ่งกลับกองทหาร ทำให้ทั้งหน่วยซึมเซา
๓ ปีที่ได้ร่วมฝ่าฟัน ร่วมทุกข์ร่วมสุข
ก่อเกิดเป็นความผูกพันล้ำลึก
ชีวิตจรยุทธ์เมื่อแรก เริ่มด้วยความหวาดหวั่น มืดมน
รอบตัวมีแต่ความแปลกแยก ชวนกริ่งเกรง
ผ่านวันเวลา ผ่านเรี่ยวแรงทุ่มเทแทรกซึมจนค่อยๆเห็นแสงสว่าง
จากป่าวังเวง แวดล้อมด้วยสภาพเวิ้งว้างและผู้คนที่ถูกแบ่งแยกจากไฟสงคราม
ค่อยๆสลายหลอมรวมกลายเป็นที่พักพิง มีผู้คนให้พึ่งพา
เป็นบ้านอีกหลังที่อบอุ่นคุ้นเคย ไม่ใช่ป่าแปลกหน้าแบบเดิม
ยิ่งเมื่อนึกถึงยามได้เดินลัดตัดคันนา กลางสายฝน
ได้นั่งนับดาวเดือนบนไร่ข้าวร้าง ในหน้าแล้ง
ได้นอนห่มฟางอุ่นๆบนหัวไร่มีเสียงจั๊กจั่นเรไรเป็นเพื่อน ยามลมหนาวพัดพรู
ได้ลิ้มลองรสชาติของแปลกทั้ง กะปิ แหนม ลาบปลาดิบ
ที่สหายไฟกึ่งบังคับให้ชิม โดยอ้างว่ามวลชนฝากมาให้
ทั้งหมดทั้งมวลคือ ช่วงชีวิตที่มุ่งเองก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์ไม่ต่างจากทุกคน
แต่ที่สุดแล้ว ต่างก็ต้องยอมรับความจริงที่บางครั้งอาจไม่ได้เป็นไปเหมือนใจอยาก
การพบ – พรากจากกัน ไม่ว่าเป็นหรือตาย
เป็นดั่งกฏเกณฑ์ในวิถีของ ... “นักปฏิวัติ”
สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก