ใครแปลสรรนิพนธ์ โดย “ดอกไม้ป่า”
สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุงฉบับภาษาไทย 10 เล่ม มีสำนวนภาษาที่นับว่าอยู่ในระดับวรรณกรรม ทั้งยังมีการบัญญัติศัพท์ใหม่ๆที่มีความหมายลึกซึ้งไว้มากมายตลอดทั้งสิบเล่ม ในด้านความคิดทางการเมือง ทฤษฎีลัทธิมาร์กซก็ชัดเจนแจ่มแจ้ง จนหลายคนคิดว่าอ่านแต่สรรนิพนธ์ไม่ต้องศึกษาลัทธิมาร์กซก็พอแล้ว
ใครเป์นผู้แปลหนังสือแห่งประวัติศาสตร์ชุดนี้ ท่านผู้แปลทั้งหลายต้องเชี่ยวชาญทั้งภาษาไทย ภาษาจีน ระดับนายของภาษาทีเดียว
สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตง มี 2 ชุด ชุดแรกเล่ม 1- 4 ชุดที่ 2 เล่ม 5 คณะแปลมี 2 ชุด ชุดแรกเป็นผู้เชี่ยวชาญไทยจากพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ซึ่งได้รับการว่าจ้างจากทางการจีนในฐานะผู้เชี่ยวชาญ แปลเล่ม 1-4 ทำงานกันในช่วงปี 2506-2508 ตีพิมพ์เป็น 8 เล่มโดยสำนักพิมพ์ภาษาต่างประเทศ ปักกิ่ง เมื่อปี 2511 ส่วนเล่ม 5 เพิ่งตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2522 ทางจีนแปลเองทั้งหมด
ผู้เชี่ยวชาญไทยในยุคนั้นเดาได้ไม่ยาก
หนึ่งในผู้แปล ต้องเป็น อัศนี พลจันทร แน่นอน ส่วนคนอื่น ๆ จะต้องเป็นชาญ กรัสนัยปุระ และเริง เมฆไพบูลย์ เพราะทั้ง 3 ท่านนี้ เชี่ยวชาญทั้งภาษาจีน และภาษาไทย มีแต่ 3 ท่านนี้เท่านั้นที่จะสามารถแปลภาษาจีนออกมาเป็นภาษาไทย และเข้าใจความหมายของทฤษฎีการปฏิวัติดีถึงขนาดนี้ได้
ส่วนเล่มที่ 5 แปลโดยผู้เชี่ยวชาญจีน 3 ท่าน เป็นลูกหลานจีนที่เกิดในไทยแล้วไปสังกัดพรรคคอมมิวนิสต์จีน ท่านหนึ่ง ชื่อ คุณCai Zhihong อดีตบรรณาธิการมหาชนที่ถูกเนรเทศไปจีน (ในหนังสือ "ลูกจีนรักชาติ" หน้า ๔๕๐ มีภาพอู๋เจี้ยนจงและไช่จื้อหง ในเรือที่จะเดินทางไปประเทศจีน ใต้ภาพบรรยายไว้ว่า "ในที่สุดไช่จื้อหงและอู๋เจี๋ยนจงผู้รับผิดชอบ น.ส.พ.ฉวนหมินเป้าก็ต้องถูกทางการจับกุมและยึดบัตรต่างด้าว แล้วเนรเทศในฐานะเป็นบุคคลไม่พึงปรารถนา")
และอีก 2 ท่านที่มีการระบุนามคือ Lin Shanan, Hong Kenan ซึ่งคุณเสถียร จันทิมาธรได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ฝ่ายจีนที่ชื่อ หลิน ซานาน น่าจะเป็นคนเดียวกับ สนาน วรพฤกษ์ เจ้าของนามปากกา "ส.ว.พ." และ สรง พฤกษ์พร รวมทั้ง ทำนุ นวยุค แต่ครั้งยังทำและเขียนหนังสืออยู่เมืองไทย
มีบางท่านระบุว่า ผู้ตรวจทานภาษาขั้นสุดท้ายก่อนตีพิมพ์เป็นเล่มคือ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ซึ่งคุณโกลิศ พลจันทร บุตรชายของคุณอัศนี พลจันทร ได้ตอบไว้ว่า “ผิดแล้วครับ งานแปลเป็นงานภายในพรรค คุณลุงกุหลาบเป็นที่ปรึกษา บก.( ส.นพ) ในปี 2509-2511 ท่านอยู่ที่ สปท. ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวงานแปลครับ เพราะช่วงนั้นท่านเป็นแนวร่วม กับคุณป้าชนิด ไม่ยุ่งกับงานภายในครับ ผมคอยช่วยเหลือดูแลท่านทั้งสองตามคำสั่งคุณพ่อครับ”
* ในระหว่างการทำงานแปลหนังสือชุดนี้ คณะผู้เชี่ยวชาญไทยทั้ง ๓ ท่านได้ไปพักในสถานที่ที่ทางการจีนจัดให้ในปักกิ่ง ทั้งคุณลุงอัศนี คุณลุงเชาวน์ และคุณลุงเริง ได้พาภรรยาของท่านไปด้วย บางครั้งลูกๆของท่านก็ได้ไปอยู่ด้วยช่วงสั้น ๆ เรื่องความขัดแย้งทางความคิด ทางคำศัพท์ที่แปลน่าจะมีกันอยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่อมีการบัญญัติศัพท์ใหม่ๆ ที่ต้องขบคิดกันอย่างละเอียดรอบคอบ และคงถกเถียงกันอยู่หลายรอบกว่าจะยอมรับกันได้
คุณโกลิศ พลจันทร ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “บ้านพักที่ปักกิ่งผมอยู่กับพ่อแม่พี่ป้อม บ้านอยู่ติดกันกับพรรคมลายา พรรคญี่ปุ่น พรรคอินโดนีเซีย พวกลูกๆมาเล่นกันตอนเย็นๆเสมอๆ แต่ไม่อยู่ติดกับสหายนิล(คุณลุงเชาวน์) สหายโชน(คุณลุงเริง)ครับ ไม่ได้อยู่ด้วยกัน คุณแม่บอกว่าเดือนหนึ่งทางจีนให้เงินใช้ 300 เหรียญ(กว่า)”
ในการทำงานแปลครั้งนี้ คุณป้าสุภรรยาคุณลุงเชาวน์ ทำหน้าที่คล้ายๆกับเลขานุการคณะแปล เพราะเป็นผู้พิมพ์งานที่ออกมากับเครื่องพิมพ์ดีด
……
เมื่อฉันนำเรื่องนี้มาขยายในเฟซบุ้ค มีหลายท่านสนใจและให้ข้อมูลต่างๆกัน ดังที่ยกข้อความมาให้ดู ใครๆที่อยู่ร่วมประวัติศาสตร์การแปลหนังสือชุดนี้ ต่างเสียชีวิตกันไปหมดแล้ว เหลือแต่เพียงป้าสุเพียงคนเดียว ที่รู้เห็นและได้ร่วมงานนี้
ป้าสุ คือ คุณสุรีย์ พงษ์พิชิต ภรรยาของคุณเชาวน์ พงษ์พิชิต หนึ่งในสามคณะผู้แปลฝ่ายไทย (คุณป้าสุรีย์เสียชีวิตเมื่อปี 2564)
แล้ววันหนึ่งในปี 2560 ฉันได้มีโอกาสสนทนาซักถามข้อเท็จจริงจากปากของท่านเอง
……
ฉัน : มีนักวิชาการไทยท่านหนึ่งที่เคยทำงานในจีน ได้พบปะคุณสุชาติ ภูมิบริรักษ์ ที่นั่น เปิดเผยว่า สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตงฉบับแปลเป็นภาษาไทย มีคุณกุหลาบ สายประดิษฐ์ ตรวจแก้ “เฉพาะคำที่มีปัญหาเท่านั้น ไม่ใช่ตรวจแก้ทั้งหมด” (คืออิสรชนคือคนดีคือศรีบูรพา,หน้า 204)
ป้าสุ : ไม่จริงเลย ไม่จริง คุณกุหลาบตอนนั้นอยู่สปท. แม้กระทั่งพี่นิตย์ (พงษ์ดาบเพชร)ก็ไม่เกี่ยว พี่นิตย์อยู่สถานีวิทยุปักกิ่ง พวกเราเป็นคนทำ ทำอยู่ที่นั่นตั้งเกือบสามปี
ฉัน : แล้วแปลไม่เสร็จเพราะทะเลาะกันเอง จริงไหมคะ
ป้าสุ : ที่ว่าทะเลาะก็ไม่ใช่ทะเลาะเรื่องไร้สาระ เถียงกันเรื่องคำศัพท์ ลุงนิลเป็นคนเชี่ยวชาญภาษาจีนกว่าคนอื่น เป็นคนแปลจากจีนเป็นไทย คุณโชนช่วยขัดเกลา แล้วคุณไฟแก้ภาษาไทย แก้สำนวนให้มันดี ป้าเป็นคนพิมพ์ แปลเสร็จส่งงานแล้ว ทั้ง 3 คนยังได้รับเหรียญวีรชนจากนายกฯโจว(เอินไหล) แต่ตอนนี้ไม่รู้อยู่ที่ไหนหมดแล้ว
ฉัน : ทำงานกันอยู่ที่ไหน
ป้าสุ : เราทำงานกันที่สำนักงานของจีนในปักกิ่ง เรียกว่า ไว่เหวินซูป่านเส้อ 外文出版社 ทางการจีนจ้าง
ฉัน : ทำไมถึงถูกเรียกว่า สามครอบครัว
ป้าสุ : คำว่า หมู่บ้านสามครอบครัว มาเรียกกันทีหลัง ไม่เกี่ยวกับการแปลสรรนิพนธ์ เราทำงานกันตั้งแต่ปี 2506-2508 แปลเสร็จก็ส่งงาน ลุงไฟกับลุงโชนก็ไปอยู่ A30 ป้ากับลุงนิลยังอยู่ต่อ ต่อมาพอลุงนิลกลับไปก็ไปอยู่ A30 เหมือนกัน ที่นั่นมี A30 A31 และ A32 ทั้งหมดมี 3 สำนัก คำว่า หมู่บ้านสามครอบครัวเป็นคำที่เรียกกันตอนปฏิวัติวัฒนธรรมปี 2509 หลังจากแปลสรรนิพนธ์เสร็จหมดแล้ว ไม่เกี่ยวกับการทำงานแปลสรรนิพนธ์ชุดนี้
ฉัน : ทางการจีนระบุมาหรือว่าต้องการลุงนิล ลุงไฟ และลุงโชนไปแปลสรรนิพนธ์
ป้าสุ : ไม่ใช่ ทางการจีนขอคนที่รู้ภาษาดีทั้งไทยและจีน มาทางพรรคฯไทย ทั้งสามคนรู้ทั้งสองภาษา ลุงนิลรู้ภาษาจีนดีที่สุด ลุงโชนก็รู้ ส่วนลุงไฟนั้น รู้ภาษาจีนด้วย แต่ที่สำคัญคือเก่งภาษาไทย ทั้งสามคนยังเคยเรียนสถาบันลัทธิมาร์กซมาด้วย ย่อมเข้าใจทฤษฎีการเมืองดี พรรคฯไทยจึงคัดเลือกสามคนนี้ให้ไปทำงานแปล
ฉัน : ทั้งสามคนก็พาครอบครัวไปด้วย
ป้าสุ : ใช่ ป้าลมก็ไปดูแลลุงไฟ ป้ารุ้งเมียของลุงโชนก็ไปดูแลลุงโชนดูแลลูกสาว ป้าไปกับลุงนิล ก็ช่วยพิมพ์ดีด ที่ถูกเรียกว่า สามครอบครัว หรือ ซานเจียชุน อาจจะเพราะอย่างนี้ แต่ไม่ได้เกี่ยวกับการทะเลาะ ไม่เคยขัดแย้งกันเรื่องครอบครัว เราอยู่กันคนละที่ ลุงนิลกับป้าและลูกชายไปอยู่โรงแรมอู่หมิงปิงกว่าน ลุงไฟกับป้าลมเช่าบ้านอยู่ซีตาน ลุงโชนกับครอบครัวก็เช่าอยู่อีกแห่ง พวกเขากินอาหารจีนไม่ค่อยได้ ไปเช่าบ้านก็ได้ทำอาหารกินเอง ส่วนป้ากับลุงนิลกับลูก เรากินได้ ก็กินอาหารที่โรงแรม ไม่ได้ทำอาหาร ไม่ต้องมีครัว
ฉัน : พักแยกกัน แล้วมาทำงานที่สำนักงาน ไว่เหวินซูป่านเส้อ หรือสำนักพิมพ์ภาษาต่างประเทศ ด้วยกัน
ป้าสุ : ใช่ เจ็ดโมงกว่าก็เริ่มทำงาน ตอนนั้นทางพรรคเราเรียกร้องให้ทุกคนไปแนวหน้า เราก็รีบทำงานกัน ใช้เวลาแค่สองปีกว่า 2506-2507-2508 ป้าทำงานจนไทรอยด์เป็นพิษเลย ต้องเข้ารับการผ่าตัดที่นั่น หลังจากนั้น ปี 2508 ลุงไฟลุงโชนไป A30 ลุงนิลกับป้าก็ไปเวียดนาม ไปดูแลโรงเรียนการเมืองการทหาร
ฉัน : หลังจากแปลเสร็จส่งให้ทางจีนแล้ว เขาพิมพ์ในปีนั้นเลยไหม
ป้าสุ : ยัง ลุงนิลกับป้ายังอยู่แก้อีกหลายครั้ง เป็นสิบครั้งได้ ลุงนิลเป็นคนละเอียด ทุกคำต้องตรงความหมาย บางทีเราคำนึงถึงคำที่มันสวย ลุงนิลจะไม่ยอมต้องแก้จนมีความหมายถูกต้อง
ฉัน : อย่างเช่นคำขวัญ “ร้อยบุปผาบานพร้อมพรัก ร้อยสำนักประชันเสียง” หรือ “ชนกรรมาชีพทั่วโลก จงรวมกันเข้า”
ป้าสุ : ก็ลุงไฟไง ลุงไฟมีชื่อภาษาจีนว่า เฉินจินเหวิน แปลว่า ภาษาสีทอง ลุงโชนชื่อ หลินไห่ ลุงนิลชื่อหลิวซื่อ
….
หนังสือสรรนิพนธ์ เล่ม 1 ถึง 4 พิมพ์ครั้งแรกปี 2511 โดยสำนักพิมพ์ภาษาต่างประเทศปักกิ่ง ส่วนเล่มที่ 5 พิมพ์ปี 2522 โดยสำนักพิมพ์เดียวกัน
สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก