บันทึกเรื่องล้ำในไพรลึก.... ชลธิรา สัตยาวัฒนา  ตอนที่ 5   “โหมไฟ…ให้พี่น้องเรานอนหลับอุ่นสบาย”

 ชลธิรา สัตยาวัฒนา

 “โหมไฟให้แรงเข้า

พัดไล่ความเยือกเย็นหนาว
ให้พี่น้องเรานอนหลับอุ่นสบาย”
ในหนังสือปกขาว ที่เรียบเรียงโดย “กลุ่มเพื่อน สปท.” มีชื่อและเรื่องราวของ ‘สหายไฟ’ หรือ อัศนี พลจันทร ปรากฏในบันทึกเรื่องเล่าสองเรื่อง จากสหายหญิง 1 ราย และจากสหายชาย 1 ราย ทั้งสองรายนี้คือ ‘สหายเมย’ กับ ‘สหายลิน’ เป็นสหายอาวุโสรุ่นบุกเบิก สปท. ที่มีประวัติชีวิตน่าสนใจยิ่ง

สหายเมย สมาชิกรุ่นบุกเบิก สปท. สายนักเรียน
ในจำนวนสหายผู้ร่วมบุกเบิกการจัดตั้ง สปท. ‘สหายเมย’ เป็นนักเรียนไทยในจีนคนแรกที่ได้รับการคัดเลือกให้ไปทำงานที่ สปท. รุ่นแรก เมื่อปี พ.ศ.2504 (ค.ศ.1961) สหายเมยคงจะเป็นนักเรียนไทยที่โดดเด่นในโรงเรียนเป่ยจิงหัวเฉียวผู่เสี้ยว ซึ่งรับแต่ลูกหลานของชาวจีนโพ้นทะเลเข้าเรียน เธอเข้าร่วมหน่วยสันนิบาตเยาวชนฯ ตั้งแต่อายุ 16-17 ปี พออายุได้ 18 ปีก็ยื่นใบสมัครขอเข้าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน เธอถูกส่งตัวไปเริ่มฝึกงานที่สถานีวิทยุปักกิ่ง ซึ่งมีสหายนิตย์ พงษ์ดาบเพชร เป็นผู้เชี่ยวชาญภาษาไทยประจำการอยู่ที่นั่น สหายเมยได้รับการบ่มเพาะโดยสหายนิตย์ให้ฟื้นภาษาไทย อ่านหนังสือพิมพ์ภาษาไทย ฟังวิทยุ และฝึกพิมพ์ดีด ถึงปลายปี 2504 ก็มีสหายผู้ใหญ่จำนวนหนึ่งนำพาสหายเมยเดินทางโดยรถไฟ จากนครปักกิ่งจนถึงกรุงฮานอย โดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าว่าจะให้ไปทำอะไร จนในที่สุดเมื่อได้พบสหายนำของ พคท. คือ ประเสริฐ เอี้ยวฉาย และคณะ สหายเมยจึงได้รับทราบภาระหน้าที่ว่าให้ร่วมทำการเตรียมก่อตั้ง สปท.
หน้าที่ใน สปท.ของสหายเมยในระยะแรก ณ สำนักงานชั่วคราวในกรุงฮานอย เป็นงานด้านธุรการ คือประสานงานกับสหายเวียดนามเพื่ออำนวยความสะดวกด้านต่าง ๆ ให้กับมิตรสหายในสำนักงาน สปท. เช่น จัดหาข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นเช่นเสื้อผ้า และติดต่อขอหยูกยาเมื่อเจ็บป่วย เธอท้าวความทรงจำช่วงนี้โดยจัดกลุ่มผู้เดินทางมาร่วมบุกเบิก สปท. เป็น 3 ชุด
ช่วงเริ่มย้ายเข้าสำนักงาน (ชั่วคราว) ของ สปท.ระยะต้นปี 2505 นั้น มี ‘ผู้ปฏิบัติงาน’ ชุดแรกเดินทางมาสมทบจากปักกิ่ง คนไทยที่มาถึงพร้อมกัน คือ คุณสุชาติ ภูมิบริรักษ์ นักเขียนนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ อีกรายหนึ่งคือผู้ใช้ชื่อจัดตั้งว่า ‘สหายลิน’ ครั้นใกล้ตรุษจีนก็มีคนมาเพิ่มอีกเป็น ‘นักศึกษาไทยในจีน’ เช่น สหายอุไร สหายแซน ตามด้วย ‘นักศึกษาจากเมืองไทย’ กลุ่มใหญ่ คือ สหายซา สหายนา สหายฟีงา สหายเซิน และสหายจัน มิตรสหายเหล่านี้แม้มากันคนละทิศละทาง แต่ใช้เวลาตั้งหลักปรับตัวกันไม่นานนัก
ครั้นถึงวันที่ 1 มีนาคม 2505 สปท.ก็เริ่มกระจายเสียงเป็นวันแรก โดยมี ‘สหายจัน’ เป็นโฆษกคนแรกของ สปท.
สหายเมยเล่าว่า เธออยู่ ณ ที่ทำการ สปท.แห่งนี้ได้ไม่นาน ก็ถูกพาตัว “ย้ายไปที่ไหนก็ไม่รู้” สถานที่แห่งใหม่คงเป็นที่ปิดลับขั้นสูง ระดับเจ้าหน้าที่ธุรการอย่างเธอจึงถูกพาตัวไปโดยไม่อาจทราบตำแหน่งแห่งที่
ณ “ที่ไหนก็ไม่รู้” แห่งนี้เอง ที่เธอได้พบกับ อัศนี พลจันทร สหายเมยฟื้นความหลังเล่าถึง ‘สหายไฟ’ อย่างเป็นตัวเป็นตนชัดเจน ด้วยข้อความว่า
“ที่นั่น มีสหายธาร สหายห่ง สหายดั่ง คุณประเสริฐ เอี้ยวฉาย ป้าวนา และสหายไฟ เข้าใจว่า เป็นหน่วยงานจัดการประชุมของศูนย์กลาง ฉันทำหน้าที่แปลรหัสโทรเลข โดยมี ‘สหายไฟ’ เป็นจัดตั้ง มาใช้ชีวิตจัดตั้ง มาเล่าสถานการณ์ต่าง ๆ ให้ฟัง พอประชุมกันเสร็จ พวกเขากระจายกลับประเทศ หน่วยงานนั้นไม่มีแล้ว ฉันถึงกลับมา สปท.อีกครั้ง…ที่สำนักประชุมศูนย์กลางนี่เองที่ป้าวนามาบอกกับฉันว่า จัดตั้งอนุมัติให้ฉันเข้าเป็นสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์ไทย”
ความข้างต้นให้ภาพชัดเจนที่สุดว่า
ประการที่ 1 สหายไฟเป็น ‘สหายนำ’ ร่วมประชุมอยู่กับสำนักประชุมศูนย์กลาง อันประกอบด้วยสหายนำรายชื่อต่าง ๆ ที่ล้วนเป็นกรรมการกลาง และบางท่านก็เป็นกรมการเมือง สำนักศูนย์กลางนี้คงอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งในกรุงฮานอย ความข้อนี้สอดคล้องต้องกันกับข่าวคราวและช่วงเวลาที่เผยแพร่ในชั้นหลังว่า อัศนี พลจันทร ได้รับเลือกเป็นกรรมการกลางพรรค และกรมการเมือง (สำรอง) ในสมัชชา 3 ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
ประการที่ 2 ในบริบทที่สหายเมยกล่าวอ้างถึง “สหายไฟ” นั้น บุคคลผู้นี้ย่อมไม่อาจเป็นใครอื่นได้ นอกจาก อัศนี พลจันทร ผู้เป็น ‘จัดตั้ง’ ของสหายเมย นั่นคือ อัศนี พลจันทร ทำหน้าที่เป็น “ผู้นำหน่วยพรรค” ที่มีการใช้ชีวิตทางการจัดตั้งร่วมกับสมาชิกพรรคในหน่วย จัดประชุมศึกษาประเด็นทางการเมือง อภิปรายติดตามสถานการณ์บ้านเมืองและสถานการณ์โลก รวมทั้งการประชุมสำรวจวิจารณ์และวิจารณ์ตนเอง และคงจัดการศึกษา “ระเบียบการพรรคคอมมิวนิสต์ไทย” ด้วย เพราะ ‘สหายเมย’ ระบุว่าเธอผ่านการพิจารณาจากหน่วยพรรคนี้ ให้เข้าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ไทย ทั้ง ๆ ที่เดิมก่อนหน้าเดินทางมาฮานอย เธอได้ยื่นขอสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนไว้แล้ว
ประการที่ 3 สหายไฟ หรือ อัศนี พลจันทร มิได้ทำหน้าที่ทางการเมืองและการจัดตั้งเท่านั้น นอกจากนำหน่วยพรรคคอมมิวนิสต์ไทยระหว่างทำการอยู่นอกประเทศแล้ว ท่านยังทำหน้าที่บริหารจัดการ บ่มเพาะผู้ปฏิบัติงานให้ทำงานลับที่มีความสำคัญยิ่ง คือภาระหน้าที่แปลรหัสโทรเลข ที่ต้องมีวินัยเข้มงวดในการรักษาความลับ
‘สหายเมย’ คือพยานปากสำคัญที่สุดที่ยังมีชีวิต ผู้สามารถยืนยัน ‘อัตลักษณ์ทางการเมืองและการจัดตั้ง ของบุคคลสำคัญที่ล่วงลับเดินทางไป “ซบอกแม่” แล้วอย่างไร้รูปรอยเช่น ‘นายผี’
แม้ชีวประวัติบุคคลอย่าง อัศนี พลจันทร จะเลือนราง หรือ “ถูกลบ” โดยกระบวนการ “White mythology” ในเชิงอุปลักษณ์ จนแทบจะหาร่องรอยไม่ได้ ภาพของ อัศนี พลจันทร พราวเด่น “แสงเย็น เห็นอร่าม” สง่างาม สมสถานภาพ ‘สหายนำ ศูนย์กลาง พคท.’ ที่มีวัตรปฏิบัติ ใช้ชีวิตหน่วยพรรคด้วยวินัยเยี่ยงสหายสมาชิกพรรค และยังมีฐานะบทบาทเป็น ‘จัดตั้ง’ ผู้นำหน่วยพรรค ทำหน้าที่บ่มเพาะลูกหลานไทยเชื้อสายจีนในต่างแดนให้เป็นสมาชิกพรรค และปฏิบัติหน้าที่สำคัญในองค์กรที่ต้องรักษาความลับขั้นสูง เพราะการทำหน้าที่แปลรหัสโทรเลขกำความเป็นความตายขององค์กร และความอยู่รอดปลอดภัยของทั้งสหายนำและผู้ปฏิบัติงาน สปท.ทุกคน
อย่างไรก็ตาม ความทรงจำของผู้คนมีข้อจำกัด ทั้งด้วยวัยและกาลเวลา ประกอบกับการเลือกจำเรื่องใกล้ตัว และการเลือกลืมเรื่องราวที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับตนเอง “ภาพจำ” บางส่วนของ ‘สหายเมย’ จึงเลือนหายไป เมื่อมีการโยกย้ายสถานที่ตั้ง สปท.ไปจากที่เดิมที่เธอเคยอยู่ทำการด้านธุรการ ดังเธอเล่าว่า
“ตอนที่กลับมาอีกครั้ง สปท.ย้ายไปจากที่เดิมแล้ว สถานีแห่งใหม่มีบริเวณกว้างขวาง พวกเด็ก ๆ ทั้งหลายเข้ามากันแล้ว...เราย้ายสถานีกันหลายครั้ง เคยอยู่ค่ายทหารช่วงสั้น ๆ แล้วไปอยู่ถ้ำ...ตอนนั้นอเมริกามาบอมบ์หนักมาก พวกเราต้องย้ายกันกะทันหัน พวกผู้เฒ่าทั้งหลายก็ไม่ปลอดภัย”


ใครเป็นใครใน สปท. ผู้ร่วมกันโหมไฟ ให้พี่น้องนอนหลับอุ่นสบาย ?
‘สหายเมย’ รื้อฟื้นความทรงจำ ได้ผู้คนร่วมโหมไฟ สปท. จำนวนไม่น้อย เช่น
“หน่วยเขียนข่าวในประเทศ มี สหายบิญ สหายนพ สหายลิน คุณสุชาติ และป้าจัน…
หน่วยเขียนข่าวต่างประเทศ มี สหายเตี๋ยน สหายซา สหายแซน สหายมุข
หน่วยรับฟังข่าววิทยุสนองข้อมูลให้คนเขียนข่าว มี สหายวัย สหายตุ้ม สหายชาญ
หน่วยเก็บข้อมูล มี ลุงเซิน พี่เร สหายหลี สหายอุไร สหายสุเพ็ญ
หน่วยอ่านออกอากาศ มี สหายนา สหายฟีงา สหายขวัญ สหายป้อม
หน่วยช่างเทคนิค มี สหายมั่น สหายแวน”
ในรายชื่อผู้ร่วม “โหมไฟ ให้พี่น้องเราอุ่นสบาย” จำนวนทั้งสิ้น 23 คนข้างต้น ที่ ‘สหายเมย’ ย้อนนึกถึงชื่อ รำลึกภาพ และภาระหน้าที่ของพวกสหาย สปท.รุ่นแรกได้นั้น เธอสารภาพว่า
“ฉันนึกภาพสหายไฟทำงานที่ สปท.ไม่ออก”
‘สหายเมย’ ลงท้าย ปิดบันทึกความทรงจำของเธอ เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2565 ว่า
“เดี๋ยวนี้ฉันอายุ 82 แล้ว ลูกชายอายุ 40 กว่า
ลูก ๆ สามคนร่วมกันซื้อทาวน์เฮาส์สามชั้นให้แม่อยู่
พวกเขาแต่ละคนมีคอนโดฯ ของตัวเอง
ถึงเวลาก็มารวมกันบ้าง ชีวิตการเป็นอยู่ของฉันและลูก ๆ ดีขึ้นทุกวัน
ฉันจึงมีโอกาสไปหาเพื่อนเก่าและมิตรสหาย ได้ไปท่องเที่ยวที่ต่าง ๆ”
(คัดจาก “บันทึกสหายเมย”, ที่นี่ สปท., 2565: น.313-342.)
‘สหายเมย’ นักเรียนหญิง ผู้ที่ ‘นายผี’ เป็นจัดตั้ง รับเธอเข้าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวสต์ไทย ตั้งแต่เธออายุได้เพียง 18 ปี บัดนี้เธออายุ 84 ปีแล้ว การแกะรอย ‘นายผี’ จะดำเนินต่อไปโดยวิเคราะห์เจาะลึกจากบันทึกของสหายชายอาวุโสผู้หนึ่งชื่อ ‘สหายลิน’ รายชื่อบุคคลนี้ปรากฏอยู่ในชุดปฏิบัติการ สปท. รุ่นแรกสุด เขาเดินทางมาจากปักกิ่งถึงกรุงฮานอยพร้อมกับนักเขียนนักวิชาการชื่อ สุชาติ ภูมิบริรักษ์


สหายลิน สมาชิกรุ่นบุกเบิก สปท. สายงานสันติบาล
‘สหายลิน’ เป็นชายหนุ่มที่มีชีวิตโลดโผน ก่อนหน้าถูก “คัดตัว” ให้มาบุกเบิกงาน สปท.ที่กรุงฮานอย เขาเป็น “ผู้ปฏิบัติงาน” ชาวไทยในจีนคนแรก ที่ได้รับการฝึกปรือให้ทำการด้าน “งานสันติบาล” มาอย่างโชกโชน และเขาก็ชอบงานแนวนี้เสียด้วย สหายลินเปิดฉากบันทึกเรื่องราวที่บัดนี้ “ไม่ลับ” ทว่าล้ำลึกน่าสนใจ ดังนี้
“ผมชื่อ ‘ลิน’ มีนามปากกาว่า ‘ขวานโบราณ’
ผมเพิ่งอายุ 18 ตอนไปจากเมืองไทย ผมดีใจสิ… จะได้ไปเรียนหนังสือ
เรียนไปเรียนมา จู่ ๆ ทางการจีนก็ตามหา ตามจนเจอแล้วก็บอกให้ไปปฏิวัติ ไปทำงานที่สถาบันลัทธิมาร์กซ์ ทำไปพักใหญ่ก็ให้ไปช่วยสะสางเอกสารต่าง ๆ แล้วก็ให้ไปตามจับ ซีไอเอ สนุก ผมชอบงานนี้มาก...
ตอนผมทำงานเป็นสันติบาล จับสายลับซีไอเอ อยู่ที่ปักกิ่ง ส่วนกลางของจีนจะย้ายผมไปกระทรวงวิเทศสัมพันธ์ แต่ทางหน่วยงานสันติบาลขอไว้ไม่ให้ย้าย ขออยู่สองครั้งบอกว่าต้องการคน ขัดขืนไม่ได้ในที่สุดต้องย้ายไป…
มีสหายนำคนหนึ่งมาบอกผมว่า ให้ไปฮานอย ผมถามว่าไปทำอะไร เขาบอกไปทำงานเก็บข้อมูล
ผมก็ไป…ไปเจอพี่นิตย์ พงษ์ดาบเพชร ผู้เชี่ยวชาญภาษาไทยของสถานีวิทยุปักกิ่ง ซึ่งรู้จักกันมาก่อนสมัยทำงานที่สถาบันลัทธิมาร์กซ์-เลนิน
ผมออกเดินทางในหน้าหนาวหลังตรุษจีน หนาวจะตาย...ไปถึงฮานอยผมก็ยังงง ๆ...
เขาให้ผมลองเสียง แล้วบอกว่าเสียงของผมมีตัวอะไรไม่รู้ ไม่ชัด เลยไม่ได้เป็นโฆษก
ไม่เป็นไร...ก็มาทำงานพิมพ์ดีด เหมือนที่เคยทำตอนอยู่สถาบันลัทธิมาร์กซ์
เอกสารทั้งหลายแหล่ที่ สปท. ออกอากาศแต่ละวัน ผมพิมพ์ทั้งนั้น อัตราเร็วสูงสุดเลย
ผมพิมพ์เร็วมาก เพราะเขาต้องรีบออกอากาศ ต้องปั่น ต้องรีบพิมพ์
พิมพ์ไป ๆ ‘สหายไฟ’ ก็บอกว่า “เฮ้ย เอ็งเอาแต่พิมพ์ได้ไง ต้องเขียนหนังสือ
เค้าให้ผมเขียนบทความบทวิจารณ์ ใช้นามปากกาว่า “ขวานโบราณ”
บทความของ สปท. ต้องเซ็นชื่อ หลังจากนั้นผมก็เริ่มหัดเขียนบทความ เขียนแบบไม่ใช่อาชีพนะ”
‘สหายลิน’ เป็นคนเขียนเล่าเรื่องตัวเองได้สนุกสนาน ทำให้ได้ภาพว่า วิถีชาว สปท.ใช่ว่าจะต้องเคร่งครัดเคร่งเครียดแบบ “เสือจำศีล”
“เรื่องกินเหล้าผมนับว่าเป็นเอกเลยของ สปท. เวลามีงานเลี้ยงเขาจะเตรียมผมกับสหายเทืองไว้ ‘กานเปย’ กินเหมาไถเพียว ๆ ห้าจอกแรก ห้ามกินกับ จำจนวันตาย
เหมาไถนี่แรงมาก 50 ดีกรี เคยไปทัศนศึกษาโรงงานเหมาไถ เหล้าทุกขวดก่อนจะออกจากโรงงาน ต้องมีการแต่งรส มีคนชิม…”
ข้อมูลสำคัญที่สุด ที่ ‘สหายลิน’ บันทึกความทรงจำไว้ โดยไม่อาจมีใคร “ลบออก” ได้ ก็คือ
“สปท.กระจายเสียงครั้งแรก เดือนมีนาคม ปี 1962 (พ.ศ.2505)
เปิดสถานีวันแรก โฆษกตัวจริงที่เขาคัดไว้แล้วจากเมืองไทยยังมาไม่ถึง
โฆษกคนแรกจึงกลายเป็น ‘สหายจัน’ …”
และสิ่งที่ ‘สหายลิน’ จำได้แม่นยำอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ ราวกับเหตุการณ์เพิ่งผันผ่านไปไม่นาน ทั้ง ๆ ที่ได้ผ่านไปแล้วถึง 17 ปี ก็คือ บทความเรื่องแรกของ สปท. มีชื่อว่า “อันเป็นภาวะสุดแสนทนทานได้”
บทความนี้ และที่มีชื่อนี้ เขียนโดย ‘สหายไฟ’ ที่จำได้แม่นยำอาจเป็นเพราะ ‘สหายลิน’ เป็นผู้พิมพ์งานทุกชิ้น ที่ออกอากาศทาง สปท. และบทความนี้น่าจะออกอากาศในฐานะ
“บทบรรณาธิการ” ของ สปท.
ส่วนความพึงพอใจต่องานที่นี่ ถึงขนาดทำอยู่ตั้งแต่เริ่มพิมพ์บทความชิ้นแรก จนถึงบทสุดท้ายที่ปิดฉากงาน สปท.นั้น สหายลินบอกว่า
“ทำงานที่ สปท. ผมประทับใจที่ได้ด่ารัฐบาล ได้ระบายความรู้สึก ความไม่พอใจ ความเคียดแค้น…
ผมเป็นคนเดียวที่อยู่ สปท.ตั้งแต่เตรียมงาน จนได้เปิด และจนกระทั่งต้องปิด… ที่ไหนก็ไม่ได้ไปเลย ดักดานอยู่ที่เดียว คือถ้าไปคงไม่มีใครเขียน
เช้าวันหนึ่ง ผมเริ่มเขียนข่าวขึ้นต้นว่า ‘รัฐบาลเกรียงศักดิ์…’
แค่นั้นน่ะ เค้าบอกเลิก ไม่ต้องเขียนแล้ว หยุด !!!
สุดท้ายผมก็มาติดอยู่ที่ สปท. ตั้งแต่วันเปิดสถานี จนวันปิดสถานีชั่วคราวแบบถาวร.”
(คัดจาก “บันทึกสหายลิน”, ที่นี่ สปท., 2565: น.333-342.)
บทบันทึกของ ‘สหายลิน’ ผู้ใช้นามปากกา ‘ขวานโบราณ’ ให้ภาพที่ชัดเจนของวิถีนักปฏิวัติท่านนี้ว่าเป็นคนตรง พูดจาไม่อ้อมค้อม ไม่ปิดงำอำพราง
เรื่องเล่าของ ‘สหายลิน’ เป็นอีกหนึ่งพยานปากสำคัญที่บอกเราว่า ในระยะบุกเบิก อัศนี พลจันทร นำงานองค์กร สปท. ด้วยการสร้างคน บ่มเพาะบุคลากรขึ้นมาใช้งานด้านต่าง ๆ เช่นกรณี ‘สหายลิน’ นักดื่มคอแข็ง อดีตสันติบาลจีน สัญชาติไทย ก็ได้รับการบ่มเพาะโดย ‘สหายไฟ’ จากการเป็นเพียงพนักงานพิมพ์ต้นฉบับ สปท.ให้กลายเป็นนักเขียนบทความ ‘สหายลิน’ ทำงานเขียนและพิมพ์งาน สปท.ตั้งแต่เริ่มเปิด สปท. จนกระทั่งปิด สปท. รวมระยะเวลา 17 ปี
หนึ่งในความทรงจำอันล้ำเลิศของ ‘สหายลิน’ คือ บทความแรกที่ออกเผยแพร่ทาง สปท. เขียนโดย “สหายไฟ” ผู้โหมกระพือไฟ สปท.ยกแรก ในชื่อว่า
“อันเป็นภาวะสุดแสนทนทานได้”
ชื่อบทบรรณาธิการ สปท. “อันเป็นภาวะสุดแสนทนทานได้” นี้ฟังดูประหลาด เป็นบทความที่ตั้งชื่อโดยใช้ “ภาวะทางอารมณ์” นำเรื่อง ซึ่งอาจตีความได้หลากหลายมิติ ในบริบทต่าง ๆ กัน ถ้าหากชื่อนี้เป็น “บทวรรณกรรม” ก็คงตีความถอดรหัสได้ลึกซึ้ง หลายนัยยะ หนึ่งในนั้นอาจหมายรวมถึงสภาพจิตใจและภาวะทางอารมณ์ของผู้เขียนบทและตั้งชื่อบทความ คือ อัศนี พลจันทร ก็เป็นได้
“อันเป็นภาวะสุดแสนทนทานได้” เป็นวาทกรรมชวนขบคิด ตีความได้หลายนัยยะ มีความนัยบางประการที่เราท่านไม่อาจล่วงรู้ได้ สิ่งที่ซุกซ่อนไว้ในชุดคำยืดยาวนี้ อาจเป็น “ความในใจของนายผี” ผู้มีบุคคลิกซ่อนรูปซุกความนัย ผู้มักคิด เขียน เปล่งวาจา เล่าเรื่อง ใส่รหัสนัยไว้หลายชั้นเชิง จนผู้คนที่สนใจติดตามชีวิตและผลงานของเขา ต้องตามแกะรอยปริศนา อัศนี พลจันทร มาจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าท่านได้จากเราไปนานแสนนานแล้วก็ตาม


***


โปรดติดตามตอนต่อไป
ตอนที่ 6

 

 

โปรดติดตามและมีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท.  โปรดคลิ๊ก  

whitebanner