บทวิจารณ์หนังสือ “รู้ทันมาร์กซิสม์”
โดย นายก้าน แซ่ติง

 


“รู้ทันมาร์กซิสม์”
เขียนโดย กมล กมลตระกูล, สำนักพิมพ์แสงดาว 2567

 


นับจากหนังสือ “คำประกาศคอมมิวนิสต์” ที่เขียนโดย คาร์ล มาร์กซ และเฟรเดอริก แองเกิลส์ ในปี ค.ศ.1848 ได้ปรากฏสู่บรรณโลก ปีศาจลัทธิมาร์กซได้สิงสถิตอยู่ในความคิดและจิตใจ ทั้งของนักต่อสู้เพื่อการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคม จนถึงนายทุนใหญ่, พวกอนุรักษ์นิยม และศักดินาที่ต้องการรักษาสถานะเดิมตลอดไป.
ลัทธิมาร์กซประกาศจุดยืนชัดเจนว่า เป็นหลักคิดทฤษฎีเพื่อชนชั้นที่เสียเปรียบในสังคม ชนชั้นที่ถูกกดขี่ขูดรีดเอารัดเอาเปรียบ ลัทธิมาร์กซไม่เพียงศึกษาทำความเข้าใจสังคม, เศรษฐกิจ และการเมือง แต่ยังเป็นหลักคิดทฤษฎีที่มุ่งสู่การปฏิบัติเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมสู่สังคมที่อยู่ดีกินดี มีน้ำใจ ไร้ความเหลื่อมล้ำ ยุติธรรม ฯลฯ.
ลัทธิมาร์กซจึงมีขอบเขตการศึกษาครอบคลุมกว้างขวางทั้งทางปรัชญา, เศรษฐกิจ, การเมือง, สังคม, ศิลปะ, วัฒนธรรมฯ หากจะศึกษาลัทธิมาร์กซให้ครบถ้วนทุกแขนง คงต้องใช้เวลาหลายสิบปี ไม่รวมที่ต้องนำไปปฏิบัติเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมตามจิตวิญญานลัทธิมาร์กซ.
น่าดีใจที่อาจารย์กมล กมลตระกูล ได้สรุปเนื้อหาสาระของลัทธิมาร์กซไว้ในหนังสือ “รู้ทันมาร์กซิสม์” อย่างสั้น ๆ อ่านง่าย และทำความเข้าใจได้โดยไม่ลำบาก พร้อมทั้งมีตัวอย่างนักเปลี่ยนแปลงสังคมในลาตินอเมริกา ที่ประสบความสำเร็จในการต่อสู้ได้อำนาจรัฐ เปลี่ยนแปลงสังคมบางส่วน ด้วยวิถีทางต่อสู้ทางประชาธิปไตยผ่านการเลือกตั้งจากประชาชน.
สาระสำคัญของลัทธิมาร์กซมี 3 ด้านหลัก คือ ด้านปรัชญา ได้แก่ปรัชญาวัตถุนิยมวิภาษวิธี (Dialectical Materialism) หรือที่อาจารย์กมลใช้คำว่า “การต้านยัน“ Dialectics) และ “ภาววิสัย” แทนคำว่า “วัตถุนิยม” (Materialism) มาร์กซใช้หลักปรัชญาวัตถุนิยมวิภาษวิธีไปอธิบายการคลี่คลายของสังคมจากยุคดึกดำบรรพ์ สู่ยุคทาส ยุคทาสสู่ยุคศักดินา ยุคศักดินาสู่ยุคทุนนิยม ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่าเป็นหลักทฤษฎีวัตถุนิยมประวัติศาสตร์.
สาระสำคัญประการที่สองคือ หลักเศรษฐศาสตร์การเมืองว่าด้วยเรื่อง “มูลค่าส่วนเกิน” ในสังคมทุนนิยม แรงงานกลายเป็นสินค้า “ที่ตีค่าด้วยเวลาทำงานที่ใช้ในการผลิตสินค้า หากไม่ได้ทำการผลิต หรือไม่ได้รับจ้างก็ไม่มีราคา” (หน้า 51) ราคาสินค้าและบริการจึงคิดจากจำนวนแรงงานที่ใช้ในการผลิต หรือบริการ ส่วนต่างของราคากับค่าจ้างแรงงาน เป็นกำไรที่นายทุนสะสม และขยายงานต่อเนื่องกันไป กำลังแรงงานสร้างผลผลิตมากกว่าค่าจ้างและสวัสดิการที่ได้รับ ส่วนเกินนี้เป็นสิ่งที่มาร์กซเรียกว่า “มูลค่าส่วนเกิน”
สาระสำคัญประการที่สามคือ ชนชั้นและการต่อสู้ทางชนชั้น อาจารย์กมลได้อ้างข้อเขียนของมาร์กซใน “คำประกาศคอมมิวนิสต์” ว่า “ประวัติศาสตร์ของทุกสังคมเป็นบันทึกเรื่องราวของการต่อสู้ทางชนชั้น ระหว่างชนชั้นปกครองกลุ่มน้อย ผู้เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต กับคนส่วนใหญ่ผู้ไม่ได้เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตที่ถูกปกครอง ซึ่งแต่ละชนชั้นถูกกำหนดโดยบทบาทที่เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต” (หน้า 78).
ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย คือประวัติของการต่อสู้ทางชนชั้น อาจารย์กมลยังได้อธิบายไกลไปถึงปัจจุบันที่ทุนใหญ่ “ครอบโลก” หรือจักรวรรดินิยมยุคใหม่ ที่พัฒนาขึ้นเป็นคลื่นลูกที่สามของจักรวรรดินิยมใหม่ ครอบคลุมทั้งด้านการเงิน, การผลิต, การบริการ, การบันเทิง และเทคโนโลยีฯ ใครอยากทราบรายละเอียดก็ต้องอ่านหนังสือเล่มนี้.
ที่น่าสนใจคือ อาจารย์กมลได้ยกตัวอย่างความสำเร็จของนักต่อสู้ในลาตินอเมริกา ที่นำหลักคิดของลัทธิมาร์กซไปปรับใช้กับภาวะที่เป็นจริงของสังคมอเมริกาใต้ จนประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง เช่น ซิมอน โบลิวาร์, ฟิเดล คาสโตร์ ในคิวบา, อูโก ชาเวช ในเวเนซูเอลลา, เอโว โมราเรส ในโบลิเวีย, ดาซิลวา ในบราซิล เป็นต้น.
และที่เราไม่เคยรู้มาก่อน คือบาทหลวงในอเมริกาใต้ได้ปรับคำสอนของศาสนาคริสต์เข้ากับหลักการปฏิวัติ ที่เรียกว่า “เทวปฏิวัติ - (Liberation Theology) พวกเขาสอนว่า “มนุษย์คือผู้สร้าง และผู้มีอำนาจเปลี่ยนแปลงโลก” ซึ่งคล้ายกับหลักคิดของลัทธิมาร์กซ
เทวปฏิวัติ คือ “การนำเอาความเชื่อและคำสอนทางศาสนามาตีความ เพื่อช่วยเหลือคนจน และผู้ถูกกดขี่ พร้อมกับการจัดตั้งให้เข้าไปเคลื่อนไหวทางการเมืองและทางสังคมอย่างขันแข็ง โดยเน้นทั้งด้านการสร้างจิตสำนึกให้รู้เท่าทันความบาปของโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ที่เป็นต้นตอของการสร้างความไม่เป็นธรรม และความยากจนในหมู่ประชาชน...” (กุสตาโว กูเตียร์เรซ เมริโน - นักศาสนศาสตร์ชาวเปรู) (หน้า 267-268).
อาจารย์กมลปิดท้ายหนังสือด้วยการวิเคราะห์ “ทุนนิยมบริวาร” (Peripheral Capitalism) ซึ่งเป็นการพัฒนาอีกขั้นหนึ่งของจักรวรรดินิยม แน่นอนครับ อาจารย์กมลเป็นมาร์กซิสรุ่นคลาสสิคขนานแท้ ฉะนั้นการวิเคราะห์ตีความปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในสังคมทุนนิยม จึงเป็นแนวมาร์กซิสขนานแท้ ซึ่งเป็นได้ทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนของหนังสือเล่มนี้.
หนังสือ “รู้ทันมาร์กซิสม์” จึงเป็นหนังสือที่ยั่วยวนให้นักต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้ดีขึ้นได้อ่านเป็นสารตั้งต้น ในการสืบค้นเจาะลึกประเด็นที่สนใจ และปรับให้เข้ากับภาวการณ์ และการต่อสู้ที่เป็นจริงของสังคมไทยยุคปัจจุบัน.
การต่อสู้ต้องมีหลักคิดมีทฤษฎีชี้นำ และลัทธิมาร์กซเป็นเทียนส่องนำการต่อสู้ของประชาชนผู้ด้อยโอกาส และผู้เสียเปรียบในสังคมตลอดมา.

 


15 มิถุนายน พ.ศ.2524

 

 

 

 

 

 

สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท.  โปรดคลิ๊ก  

 

whitebanner