บทความส่งเข้าประกวดชิงรางวัล “หนึ่งธันวา“ เรื่องที่ ๕ - บันทึกความทรงจำจากการต่อสู้ร่วมกับ พคท....“ช่วงหนึ่งของชีวิตในป่าเขา'

โดย สหายขวัญ

ฉันรู้สึกปลาบปลื้มและดีใจ เมื่อพลเอกท่านหนึ่งบอกพวกเราว่า “พวกท่านไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย แต่เป็นผู้ก่อการดี” และพวกท่านคือ “ประวัติศาสตร์ของประเทศ” ..... ฉันก็ปลื้มไม่หาย
การที่ฉันเข้าป่าก็ไม่อาจโอ้อวดได้ว่า ฉันเข้าใจอุดมการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์และเข้าใจลัทธิมาร์กซ-เลนิน แต่ฉันเห็นสหายที่เป็นตัวแทนของพรรคคอมมิวนิสต์ปฏิบัติต่อพี่น้องประชาชนมีความแตกต่างกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลอย่างฟ้ากับดิน
เมื่อฉันได้เข้ามาอยู่ในป่าภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ก็ได้รับการอบรมสั่งสอนจากพรรค ให้เข้าใจจุดมุ่งหมายและอุดมการณ์ของพรรค ซึมซับทุกอย่างที่พรรคฯสอน ไม่กลัวความยากลำบากและไม่กลัวตาย เพื่อปลดปล่อยประเทศชาติและประชาชนให้พ้นจากการกดขี่ขูดรีดและถูกเอารัดเอาเปรียบ เราจะสร้างสังคมใหม่ ให้ประชาชนได้อยู่ดีกินดี
ฉันจึงตั้งปณิธานว่าจะรับใช้พรรคอย่างสุดจิตสุดใจอย่างไม่มีเงื่อนไข
ในปี พ.ศ. 2523 ทางจัดตั้งบอกฉันว่าให้คุณย้ายไปช่วยงานหมอที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ฉันก็ตอบตกลงทันที คืนนั้นก่อนออกเดินทางมีการเลี้ยงส่งให้ฉันออกไปแสดงความรู้สึก ฉันยังจำได้ว่ามีสหายหลายคนร้องไห้และฉันเองก็ร้องไห้ และฉันยังจำสิ่งที่พูดในคืนนั้นได้ดี ฉันพูดว่า “นี่ไม่ใช่การจากลาครั้งแรกของฉัน ฉันเคยจากลา เคยพลัดพรากจากพ่อแม่ พี่น้อง มิตรสหาย มาแล้วหลายครั้ง ทุกครั้งก็อดใจหายไม่ได้ สำหรับครั้งนี้ ฉันก็ได้จากพ่อแม่ น้องๆที่มีได้มีโอกาสมาอยู่ด้วยกันเป็นครั้งแรก หลังจากที่พวกเราต่างแยกย้ายกันอยู่มาเป็นเวลานาน”
ฉันออกเดินทางไปยังค่ายหรือกองทัพของสหายที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งขณะนั้นค่ายหลายค่ายถูกยุบหรือสลายไปแล้วยังเหลืออยู่ค่ายเดียว เพราะสหายส่วนใหญ่กลับออกไปอยู่บ้านกันแล้ว แต่สหายส่วนหนึ่งก็ยังยืนหยัดที่จะต่อสู้ต่อไป แม้จะยากลำบากสักเพียงใดก็ตาม ภูเขาสูง อากาศที่หนาวเย็น ขาดแคลนเรื่องอาหารการกิน อยู่ในป่าไผ่ กินแต่หน่อไม้ ไม่เคยได้ลิ้มรสของเนื้อสัตว์และผักปลา
มีอยู่คืนหนึ่ง ฉันและสหายหญิงสี่ห้าคนคิดกันว่าคืนนี้เราไปโละกบกันดีกว่า เผื่อจะได้เนื้อมากินบ้าง เราลัดเลาะกันไปตามสายห้วยซึ่งห่างไกลจากค่ายพักพอสมควร เดินไปตั้งนานก็ไม่เจอกบสักตัว จนรู้สึกท้อและหดหู่ แต่เรายังเดินต่อไป จนไปพบแอ่งน้ำที่กว้างพอสมควร ทันใดนั้นฉันเหลือบไปเห็นเแสงสีแดง 2 จุดส่องตรงมาที่ฉัน โดยไม่ลังเล ฉันฟาดปืนคาร์บินที่ถืออยู่ในมือแล้วยิงเปรี้ยงไปนัดหนึ่ง โดยไม่ได้เล็ง ได้ยินเสียง “ตูม”...มีอะไรหล่นลงไปในน้ำ สหายคนหนึ่งคว้าก้อนหินได้ใหญ่พอสมควรขว้างตามลงไป พร้อมกับกระโดดลงไปในน้ำท่ามกลางความมึนงงของพวกเรา สหายกลับขึ้นมาพร้อมกับบอกว่า “อีแกะ อีแกะ” (สัตว์ป่าจำพวกเม่นแต่ขนอ่อนกว่า ไม่อันตรายเช่นตัวเม่น) เราดีใจเฮโลกันใหญ่ พรุ่งนี้เราจะมีเนื้อสัตว์ให้ได้กินแล้ว เพราะพวกเราได้อีแกะมาตัวหนึ่ง ฉันเองพยายามหาดูว่ากระสุนจะโดนอีแกะไหมหนอ ในใจก็คิดว่ามันคงตกใจเสียงปืนแล้วตกน้ำ และโดนก้อนหินที่สหายขว้างใส่จึงตาย แต่แล้วเราก็พบรอยกระสุนถากเป็นทางยาวบนหัวอีแกะ มันเป็นไปได้ยังไง.... ฉันยิงถูกด้วย
พวกเราพากันลากอีแกะกลับค่าย พอมาถึงสหายชายพูดกันว่าได้ยินเสียงปืน “น่าว่าปืนทุใส่กันแล้วสา”(น่าว่าปืนลั่นใส่กันแล้วมั้ง)
ไม่ว่ากองทัพของเราจะมีความยากลำบากมากแค่ไหน แต่สหายก็ยังไม่ย่อท้อ ยังคงปฏิบัติภาระหน้าที่ตามที่พรรคมอบหมาย ส่วนใหญ่สหายจะลงไปทำงานมวลชนกันที่เขตงาน มีบ่อยครั้งที่สหายขึ้นมาบอกว่า มีสหายถูกยิงและเสียชีวิต “อยู่สู้ ตายเสียแล้วไป” นี่คือคำขวัญของสหาย
ที่ข้างบนค่าย ทางจัดตั้งได้จัดให้เปิดโรงเรียนสอนหมอพื้นฐานขึ้นมารุ่นหนึ่ง มีสหายหมอที่เป็นนักศึกษาจากเขตร่อนพิบูลย์มาเป็นอาจารย์สอน ส่วนฉันกับหมออีกคนที่ประจำอยู่ที่นั่นก็ช่วยในการสอนด้วย
ขณะอยู่ที่เขตนครศรีธรรมราช ฉันได้มีโอกาสรักษาสหายและมวลชน มีการผ่าตัดให้กับสหายหลายครั้ง มีครั้งหนึ่งที่ฉันไปผ่าตัดไส้ติ่งให้กับมวลชนที่เขตงาน ครั้งนั้นฉันผ่าตัดคุมทีมเองร่วมกับน้องๆเป็นผู้ช่วย เราใช้เวลาเพียงไม่นานก็ผ่าตัดสำเร็จและผ่านไปด้วยดี ครั้งอื่นที่ผ่าตัด เราจะร่วมทีมกับสหายหมอที่เคยไปศึกษาด้วยกันที่ประเทศจีน ระหว่างปี 2518-2520 เช่น ผ่าตัดไส้เลื่อน ผ่าตัดต่อมทอลซิลให้กับมวลชน เป็นต้น
ฉันใช้ชีวิตอยู่ที่กองทัพเขตนครศรีธรรมราชประมาณ 1 ปี พ.ศ. 2524 ฉันเดินทางกลับพัทลุงเมื่อทราบข่าวว่าพ่อและน้องชายถูกทุ่นระเบิดบาดเจ็บอาการสาหัส
ชีวิตในป่าเขา ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ฉันได้มีโอกาสฝึกฝนและหล่อหลอมตนเอง ได้รับการศึกษาหมอที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและประชาชน มาจนถึงทุกวันนี้
ขอบคุณค่ะ


13 พฤศจิกายน 2567

 

สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท.  โปรดคลิ๊ก  

 

 

whitebanner