รำลึก ”วีรชน 21 มีนาคม 19”
โดย ครูส่อง (“ป้อม รถเชฟ”)
บ่ายวันที่ 21 มีนาคม 2519 ขบวนแถวของ นักศึกษา ประชาชน เคลื่อนออกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มุ่งสู่สถานทูตอเมริกา ถนนวิทยุ เป็นการเดินขบวนเพื่อขับไล่ฐานทัพอเมริกาให้ออกจากประเทศไทย
ความเป็นมาก่อนจะเป็นวันนี้
ตั้งแต่ต้นปี 2518 กลุ่มประเทศอินโดจีน 3 ประเทศ ประกอบด้วย เวียดนาม ลาว กัมพูชา ปฏิบัติการรุกครั้งใหญ่ ขับไล่จักรพรรดินิยมอเมริการผู้รุกราน อเมริกาประสบกับความพ่ายแพ้และต้องถอยร่นในทุกสมรภูมิ อเมริกาอาศัยฐานทัพที่มีอยู่อย่างมากมายในไทย เป็นฐานในการส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดในเวียดนาม ลาว และกัมพูชา ฐานทัพที่สำคัญก็มีที่ อุดรฯ ขอนแก่น โคราช อุบลราชธานี นครพนม ตาคลี อู่ตะเภา เกาะคา (ลำปาง) ฯลฯ
หลังเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 นักเรียน นักศึกษา ประชาชน เริ่มมีความตื่นตัวมากขึ้น และมองเห็นความไม่ชอบธรรมกับการที่อเมริกามาใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการรุกรานเพื่อนบ้าน ประกอบกับกระแสการเดินขบวนต่อต้านสงครามในประเทศอเมริกาเอง ส่งผลสะเทือนไปทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยด้วย เริ่มมีการเคลื่อนไหวต่อต้าน และเรียกร้องให้อเมริกาถอนฐานทัพและหยุดการใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการรุกรานเพื่อนบ้าน
เดือนกุมภาพันธ์ 2518 พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ชนะการเลือกตั้ง เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ยังไม่ทันได้บริหารประเทศก็ต้องตกม้าตาย แพ้โหวต สภาไม่รับรองการแถลงนโยบาย และด้วยลีลาชนิดเซียนเหยียบเมฆของ “เฒ่าสารพัดพิษ” ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ผู้น้อง ก็ผงาดขึ้นมาเป็น นายกรัฐมนตรี ทั้ง ๆ ที่ สส. ของพรรคกิจสังคมมีอยู่เพียง 18 คน คึกฤทธิ์ได้เป็นนายกฯ และผ่านการรับรองนโยบายจากรัฐสภา เป็นรัฐบาลที่มีอำนาจในการบริหารประเทศอย่างสมบูรณ์
ในวันที่ 20 มีนาคม 2518 ด้วยสายตาที่ยาวไกล อ่านเกมการเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะสถานการณ์ในอินโดจีนได้ปรุโปร่ง รัฐบาลคึกฤทธิ์ออกแถลงการณ์ทันทีว่า ฐานทัพของอเมริการทุกแห่งในประเทศจะต้องถอนออกไปภายใน 1 ปี และรัฐบาลไทยจะไม่ยอมให้อเมริกาใช้ฐานทัพในไทย เป็นที่ส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดยังประเทศเพื่อนบ้านทั้ง 3 ในอินโดจีนอีกต่อไป และจะไม่ยอมเป็นทางผ่านให้อเมริกาขนอาวุธเข้าไปยังเขมรและลาว และเตรียมเปิดสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีน และเกาหลีเหนือ
กลางเดือนเมษายน 2518 เขมรแดงสามารถยึดกรุงพนมเปญได้สำเร็จ ตามมาอีกไม่ถึงเดือนไซ่ง่อนก็แตก ต่อด้วยลาวได้รับการปลดปล่อย กองทัพอเมริกาต้องถอยร่นอย่างไม่เป็นขบวนออกจากประเทศทั้ง 3 ทหาร และอาวุธจำนวนมากยังอยู่ในฐานทัพต่าง ๆ ในไทย ยังมีความพยายายมที่จะตีโต้กลับในประเทศทั้ง 3 การส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดและส่งอาวุธให้กลุ่มรัฐบาลเดิมยังดำเนินต่อไป
18 เมษายน 2518 รัฐบาลไทยประกาศรับรองรัฐบาลเขมรแดงที่นำโดย พลพต
30 เมษายน 2518 ไซ่ง่อนแตก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ แถลงพร้อมรับรองรัฐบาลเวียดนาม
14 พฤษภาคม 2518 อเมริกาส่งนาวิกโยธิน 1,000 คน ขึ้นบกที่ฐานทัพอู่ตะเภา โดยไม่แจ้งรัฐบาลไทยให้ทราบล่วงหน้า จากกรณีที่เรือมายาเกซรุกล้ำน่านน้ำของกัมพูชาและถูกเขมรแดงยึดเรือเอาไว้ อเมริกาใช้เครื่องบินขึ้นจากอู่ตะเภาโจมตีกัมพูชาเป็นการตอบโต้ (กรณีคอหนัง)
15 พฤษภาคม 2518 มีการชุมนุมที่สนามหลวงเพื่อประท้วงการกระทำของอเมริกาที่ใช้ไทยเป็นฐานในการโจมตีเพื่อนบ้าน เรียกร้องให้อเมริกาขอโทษประเทศไทยและถอนทหารออกไป ช่วงนั้น ศรท.(ศูนย์กลางนักเรียนแห่งประเทศไทย) ทำงานหนักมาก ต้องออกติดโปสเตอร์กันเกือบทุกคืน
17 พฤษภาคม 2518 มีการชุมนุมใหญ่อีกครั้ง และเดินขบวนไปยังสถานทูตอเมริกาที่ถนนวิทยุ และชุมนุมอยู่หน้าสถานทูตต่อเนื่องถึง 3 วัน จนวันที่ 19 พ.ค. อเมริกาส่งหนังสือถึงกระทรวงต่างประเทศของไทย ยอมขอโทษและแสดงความเสียใจต่อรัฐบาลไทย กลุ่มนักศึกษาและประชาชนแสดงความพอใจ แต่ก็ยังยืนยันที่จะเคลื่อนไหวต่อไปเพื่อประท้วงและขับไล่ฐานทัพอเมริกาให้ออกไปให้พ้นจากประเทศไทย ก่อนสลายตัวในเย็นวันนั้น
หลังจากนั้นมาการเคลื่อนไหวเพื่อขับไล่ฐานทัพอเมริกาก็ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง มีทั้งการอภิปราย การชุมนุมประท้วง การติดโปสเตอร์เปิดโปงพฤติการณ์ของอเมริกา เปิดโปงเครือข่ายการเข้ามาขูดรีดทรัพยากร เช่น กรณีเทมโก้ การประท้วงของกลุ่มไทยการ์ด เรียกร้องค่าตอบแทนซึ่งประท้วงต่อเนื่องถึง 5 เดือน ฯลฯ
ตลอดปี 2518 มีการตีแผ่ขุมข่ายการแทรกแซงของอเมริกา โดยเฉพาะการใช้ ซีไอเอ เข้าแทรกซึมไปตามองค์กรต่าง ๆ
เดือนมีนาคม 2519 ใกล้ถึงวันครบกำหนดตามสัญญา 1 ปี ของรัฐบาลที่จะให้อเมริกาถอนฐานทัพออกไปให้หมดภายในวันที่ 20 มีนาคม 2519 มีการตระเตรียมที่จะจัดนิทรรศการต่อต้านจักรพรรดินิยมอเมริกา ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่ไม่ได้รับอนุญาต เนื่องจากมหาวิทยาลัยไม่มั่นใจในความปลอดภัย แนวร่วมศิลปินฯได้เขียนภาพต่อต้านจักรพรรดินิยมเป็นป้ายไม้ขนาดใหญ่เป็นจำนวนมาก ติดตั้งรอบท้องสนามหลวงและตามแนวถนนราชดำเนิน ส่วนหนึ่งพิมพ์โปสเตอร์ให้ ศรท.กระจายกันไปติดทั่วกรุงเทพฯ ตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม และมีรถออกปราศรัยย่อยกระจายไปทั่วกรุงเทพฯ เพื่อประชาสัมพันธ์ว่า 20 มีนาคม 2519 ครบกำหนดสัญญาที่ฐานทัพอเมริกาจะต้องออกไปจากประเทศไทย
20 มีนาคม 2519 ไม่มีคำตอบจากทั้งรัฐบาล และอเมริกา ว่าเหตุใดจึงยังไม่มีการถอนฐานทัพ
20 มีนาคม 2519 รัฐบาลออกแถลงการณ์ว่าจะให้เวลาอเมริกา 4 เดือน ในการถอนฐานทัพออกไปให้หมด เย็นวันนั้น ศนท.(ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย)ได้จัดการชุมนุมโดยตั้งเวทีอยู่ที่อนุสาวรีย์ทหารอาสา หน้าโรงละครแห่งชาติ
เหมือนกับการชุมนุมทุกครั้งที่ผ่านมา พวกเรา ศรท.ต่างเข้าร่วมในการชุมนุม ศนท.ออกแถลงการณ์ว่าจะเดินขบวนไปยังสถานทูตอเมริกาในวันที่ 21 มีนาคม 2519 เพื่อขอคำตอบในการถอนฐานทัพ จนประมาณ 2-3 ทุ่มก็มีเสียงระเบิดดังขึ้น คงจะเป็นระเบิดขวดหรือระเบิดพลาสติก จึงมีคนบาดเจ็บไม่มากนัก มีเจ็บเล็กน้อย 5-6 คน พวกเราช่วยลำเลียงคนเจ็บมาขึ้นรถเชฟ ผมขับไปส่งที่โรงพยาบาลศิริราช และขับกลับมาร่วมชุมนุมต่อ
แม้ถูกขว้างระเบิดก่อกวน ผู้ร่วมชุมนุมก็ยังไม่ถอย คงร่วมชุมนุมกันต่อไปจนดึก และนัดหมายกันว่าจะตั้งขบวนเพื่อเดินไปยังสถานทูตอเมริกา ตอนเที่ยงวันที่ 21 มีนาคม 2519
เหตุการณ์ 21 มีนาคม 2519
ประมาณเที่ยงของวันที่ 21 มีนาคม 2519 ขบวนของนักศึกษาประชาชนเริ่มเคลื่อนขบวนออกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขบวนเดินออกจาก มธ.ทางประตูท่าช้างวังหน้า ลอดใต้สะพานพระปิ่นเกล้าไปตามถนนพระอาทิตย์ เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับกลุ่มกระทิงแดง / นวพล ที่ชุมนุมกันอยู่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ทราบมาว่ามีนายทหารระดับสูงมาสั่งการอยู่ที่กลุ่มกระทิงแดงและนวพล ห้ามไม่ให้เคลื่อนตัวมาขัดขวางหรือก่อกวนการเดินขบวนของนักศึกษา ขบวนจึงสามารถเดินอ้อมไปออกทางสะพานผ่านฟ้า และเข้าสู่ถนนหลานหลวงได้โดยไม่มีการปะทะกัน
หัวขบวนในวันนั้นเดินนำด้วยขบวนนักเรียน นักศึกษา ถือป้ายผ้าและโปสเตอร์ เขียนข้อความขับไล่ฐานทัพอเมริกาทั้งภาษาไทยและอังกฤษ มีรถ 2 แถว 6 ล้อ ที่ดัดแปลงหลังคารถเป็นเวทีปราศรัยติดเครื่องเสียงและลำโพงอีก 4 คัน อยู่ห่างกันเป็นระยะ จากหัวขบวนถึงท้ายขบวน ผมขับรถเชฟอยู่ในขบวนระหว่าง รถคันที่ 3 กับคันที่ 4 ซึ่งปิดท้ายขบวน บนรถเชฟมีเครื่องปั่นไฟเล็ก ๆ พร้อมเครื่องเสียงและลำโพง 1 ตัว เป็นรถสำรองที่พร้อมเคลื่อนที่ไปทุกจุดเมื่อมีเหตุฉุกเฉิน ขบวนเดินตรงเข้าถนนหลานหลวง ผ่านสะพานขาว ยมราช เข้าสู่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ มาเลี้ยวขวาที่วงเวียนราชเทวี (ตอนนั้นยังเป็นวงเวียน) ข้ามสะพานหัวช้าง เลี้ยวซ้ายที่วงเวียนปทุมวัน ในเวลาประมาณ บ่าย 3 – 4 โมง ขณะที่หัวขบวนผ่านสี่แยกราชประสงค์ไปแล้ว ท้ายขบวนยังอยู่ที่วงเวียนปทุมวัน และสะพานหัวช้าง
รถปราศรัยคันที่ 3 ที่คุมโดยพี่พินิจ จารุสมบัติ (รองเลขาฯ ศนท.ฝ่ายการเมืองในขณะนั้น) อยู่หน้าอาคารสยามเซ็นเตอร์ ผมขับรถเซฟตามมายังไม่ถึงหน้าอาคาร ณ เวลานั้นท่ามกลางนักเรียน นักศึกษา และประชาชนที่เดินอยู่เต็มพื้นที่ถนน สัตว์นรกในคราบมนุษย์ก็ขว้างระเบิดสังหารลงมาจากอาคารสยามเซ็นเตอร์ สิ้นเสียงระเบิด สิ่งที่ผมเห็นอยู่เบื้องหน้าคือคนที่ล้มระเนระนาดจากแรงของระเบิดสังหาร มีเสียงสั่งการจากรถคันที่ 2 และ 4 ที่อยู่ด้านหลังว่าให้ทุกคนหมอบลง
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก หน่วย รปภ.จากแนวร่วมอาชีวะวิ่งกรูกันขึ้นไปบนอาคารสยามเซ็นเตอร์ หน่วยพยาบาลและผู้ที่ไม่ได้รับบาดเจ็บกระจายกันเข้าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิด พี่พินิจถูกคนประคองมาขึ้นรถเชฟ เขาโดนสะเก็ดระเบิดเฉี่ยวที่ท้ายทอย โชคดีที่สะเก็ดไม่ฝังใน พวกเราช่วยลำเลียงคนเจ็บขึ้นรถเชฟจนเต็มรถ มีขบวนรถมอเตอร์ไซค์ขับนำเปิดทางให้ ผมขับรถเชฟตามไปอย่างรวดเร็ว เลี้ยวขวาที่แยกราชประสงค์ เข้าส่งคนเจ็บที่โรงพยาบาลตำรวจ พร้อมกับรถ 2 แถวอีกคันที่ตามมาติด ๆ รถจอดหน้าตึกฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลกรูกันเข้ามาช่วยรับคนเจ็บลงจากรถ ผมเปิดประตูรถลงมาดูร่างของทุกคนที่อาบไปด้วยเลือด มีทั้งที่ยังรู้สึกตัวและไม่รู้สึกตัว
ทีมมอเตอร์ไซค์ที่ขับนำเข้ามาบอกผมให้รีบกลับไปรับคนเจ็บอีก พวกเราจึงรีบช่วยคนเจ็บลงจากรถ ผมรีบขับรถเชฟกลับมาที่หน้าอาคารสยามเซ็นเตอร์อีกครั้ง ยังมีคนเจ็บเหลืออยู่อีกจำนวนหนึ่ง เมื่อผมจอดรถและเปิดประตูลงมา ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกชื่อผม หาญ นั่นเอง หาญนั่งประคองนิดซึ่งบาดเจ็บ หาญรีบอุ้มนิดโดยมีพี่มหิดลช่วยกันประคองมาขึ้นรถเชฟ ผมมองดูแล้วใจหาย ทั้งตัวนิด และหาญ เต็มไปด้วยเลือดแดงฉาน ตอนนั้นนิดไม่รู้สึกตัวแล้ว หรืออาจรู้สึกแต่พูดไม่ได้ มีเพื่อน ๆ ช่วยกันทั้งอุ้มทั้งประคองผู้บาดเจ็ดอีกหลายคนมาขึ้นรถเชฟ หาญประคองนิดอยู่มุมในสุด มือข้างหนึ่งจับผ้าชุ่มเลือดกดอยู่บริเวณคอของนิด คนเจ็บขึ้นเต็มรถ ผมรีบขับรถเชฟมุ่งไปโรงพยาบาล กลุ่มมอเตอร์ไซค์ที่นำทางตะโกนมาว่า โรงพยาบาลตำรวจคนเจ็บเยอะมาก ต้องไปโรงพยาบาลจุฬาฯ รถนำเปิดทางไปอย่างรวดเร็ว
ผู้ร่วมเดินขบวนที่ไม่ได้รับบาดเจ็บต่างโห่ร้องให้กำลังใจดังกึกก้อง แม้มีระเบิดคุกคาม มีคนเจ็บ คนตาย แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังปักหลักอยู่ ไม่หนีหายไปไหน เพราะตลอดปี 2518 มาจนถึงตอนนั้น การชุมนุมแล้วถูกคุกคามก่อกวน ด้วยระเบิดหรือเสียงปืนดูจะเป็นเรื่องธรรมดา มันมาพร้อมกับการชุมนุมแทบทุกครั้ง
ผมจอดรถหน้าตึกฉุกเฉินโรงพยาบาลจุฬาฯ แล้วรีบลงมาดูคนเจ็บ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลกรูกันเข้ามารับคนเจ็บ สำหรับนิด บุรุษพยาบาลต้องเข็นเตียงมาเทียบข้างรถเซฟ แล้วช่วยกันหามจากรถมาขึ้นเตียง มีพวกเรา ศรท.ผู้หญิง 2-3 คน จำไม่ได้ว่ามีใครบ้าง ตามไปคอยดูแลนิด หาญยังนั่งอยู่บนรถเซฟ ผมถามว่า บาดเจ็บตรงไหนไหม หาญบอกว่าไม่ เพียงแต่เหนื่อยเท่านั้น
ผมมองดูพื้นกระบะรถเซฟสีขาว มีรองเท้าตกอยู่หลายข้าง พื้นรถเต็มไปด้วยคราบเลือดของพวกเราที่บาดเจ็บ ข้างรถมีรอยเลือดเป็นเส้นสายทั้งคัน ผมเอาโปสเตอร์ที่เหลือจากการติดเมื่อคืนก่อนหลังเบาะรถมาให้พวกเรา ศรท. 4 – 5 คนที่ช่วยกันมาส่งคนเจ็บ ช่วยกันปูบนพื้นรถที่คราบเลือดเริ่มแห้ง แล้วขับรถกลับมาที่ขบวนที่กำลังเริ่มเดินกันต่อไปที่สถานทูตอเมริกา ถนนวิทยุ
ขบวนนักเรียน นักศึกษาและประชาชน ยังเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ไม่มีใครท้อถอยหรือหวาดกลัว ขบวนไปถึงหน้าสถานทูตอเมริกาประมาณบ่าย 4 โมงกว่า ตั้งเวทีปราศรัยที่หน้าสถานทูตอเมริกา ปิดถนนวิทยุตลอดสาย ตัวแทน ศนท.เข้ายื่นหนังสือต่อสถานทูต ศนท. อ่านแถลงการณ์ประณามการคุกคามอธิปไตยเหนือแผ่นดินไทยและประเทศเพื่อนบ้าน เรียกร้องให้อเมริกาถอนฐานทัพทุกแห่งออกไปจากแผ่นดินไทย และเลิกใช้ฐานทัพในไทย ส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดใน 3 ประเทศอินโดจีน
ในระหว่างนั้น มีผู้ร่วมเดินขบวนหลายคนที่เคียดแค้นอเมริกา พากันไปรุมแกะตราสัญลักษณ์หน้าสถานทูตลงมาทุบทำลาย และเผาธงชาติอเมริกาเป็นการประท้วง มีหลายคนใจถึง ฉี่รดธงชาติ และตราที่กำลังถูกเผาด้วย เสียงร้องตะโกน “จักรพรรดินิยมจงพินาศ” “ฐานทัพต้องออกไป” “แยงกี้โกโฮม” ฯลฯ ดังกึกก้องอยู่เป็นระยะ
ประมาณทุ่มเศษ โฆษกบนเวทีแจ้งข่าวว่า มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์หน้าสยามสแควร์ 3 คน แต่ยังไม่ทราบชื่อ บาดเจ็บสาหัสต้องอยู่ในห้องไอซียูอีกหลายสิบคน ผู้ชุมนุมทุกคนร่วมกันยืนไว้อาลัยให้กับผู้เสียชีวิต พวกเราส่งม้าด่วนไปโรงพยาบาลจุฬาฯ เพื่อเช็ดข่าว “นิด” ด้วยความเป็นห่วงว่าจะเป็น 1 ใน 3 หรือไม่ ไม่นานเพื่อนกลับมาบอกข่าวว่า นิดอาการค่อนข้างหนักเพราะโดนสะเก็ดระเบิดเข้าที่คอด้านหน้า ยังไม่รู้สึกตัว อยู่ห้องไอซียู รอผ่าตัดในคืนนี้ และมีเพื่อนแจ้งให้ทางบ้านนิดทราบแล้ว พวกเราโล่งใจไประดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่วางใจ
อีกสักพักก็มีข่าวภายในแจ้งมาถึงพวกเราว่า หลังจากสลายการชุมนุมในวันนี้ให้พวกเราทุกคนรีบกลับบ้าน อย่ากลับไปที่ ศรท. หรือที่ทำการขององค์กรต่าง ๆ ที่สังกัด เพราะเมื่อตอนหัวค่ำ ขณะที่พวกเรายังชุมนุมกันอยู่หน้าสถานทูตอเมริกา ได้มีกลุ่มกระทิงแดงบุกเข้าไปทุบทำลายที่ทำการของ ศนท.ที่สี่แยกคอวัว ได้รับความเสียหายอย่างหนัก และอีกส่วนหนึ่งพยายามจะบุกเข้าไปในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่เข้าไม่ได้
ประมาณ 3 ทุ่ม โฆษกบนเวทีก็ประกาศสลายการชุมนุม ผู้ร่วมชุมนุมต่างกระจายกันกลับบ้าน ผมถามเพื่อน ๆ ว่า ใครจะไปเยี่ยมนิดบ้างให้ขึ้นรถเซฟ ปรากฏว่าขึ้นมายืนกันเต็มจนนั่งไม่ได้ ผมขับรถเซฟเข้าถนนหลังสวนทะลุมาออกโรงพยาบาลจุฬาฯ แต่พอมาถึงก็ไม่มีใครได้เข้าเยี่ยม หมอแจ้งว่านิดอยู่ในห้องไอซียู กำลังเตรียมเข้าห้องผ่าตัด พวกเราจึงชวนกันกลับบ้าน ผมขับรถเซฟกลับตึกสันท์ฯ มีเพื่อนติดรถมาและทยอยลงระหว่างทาง มาถึงตึกสันท์ก็เหลืออยู่ 4 – 5 คน ที่จำได้ก็มี “เสือ” กับ “สุพจน์” อีก 2 – 3 คน จำไม่ได้ ใครจำได้ก็บอกมา
ตึกสันท์ฯ ในวันนั้น มืดและเงียบกว่าที่เคยเป็น มีไฟเปิดอยู่เพียง 2 – 3 ดวง พี่มหิดลก็มีพี่จุ้ยกับอีก 3 – 4 คน อยู่นอนเฝ้าตึกสันท์ฯ พี่จุ้ยบอกให้พวกเราเข้านอนและให้ระมัดระวัง เพราะไม่มีใครรู้ว่ากลุ่มกระทิงแดงจะบุกเข้ามาก่อกวนเหมือนที่ทำกับ ศนท.เมื่อตอนเย็นหรือไม่
ตีหนึ่งกว่า ผมนอนไม่หลับ เลยออกมาเดินเล่นข้างนอกห้อง เจอพี่จุ้ยกับพี่สหายเทพยืนคุยกันอยู่ พี่สหายเทพแกจะมีย่ามประจำตัว ในย่ามมีวัตถุบางอย่างผมก็ไม่เคยถามแกสักที จนเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในย่ามของพี่เขา บางคนบอกว่าเป็นขวาน บางคนก็บอกว่าเป็นมีดสปาต้า ก็ได้แต่เดากันไป ผมทักพี่เขาแล้วเดินมาที่รถเชฟที่จอดอยู่หน้าตึกสันท์ฯ สภาพรถเชฟในวันนั้นด้านข้างมีรอยเลือดไหลเป็นทางอยู่หลายรอย มีรอยมือเปื้อนเลือดประทับอยู่ข้างรถอีกหลายรอย ในกระบะรถมีแผ่นโปสเตอร์ที่ผมเอามาปูทับคราบเลือดของเพื่อน ๆ ที่บาดเจ็บ เลือดแห้งแล้ว ผมค่อย ๆ ลอกกระดาษออกมา บางส่วนแกะไม่ออกเพราะติดคราบเลือดที่แห้งกรัง พี่จุ้ยเดินเข้ามาดู และพูดว่า เดี๋ยวพี่ช่วยล้าง พี่เขาเข้าไปเอาแปรงลวดทองเหลืองในห้องพยาบาลมา 2 อัน ผมต่อสายยางมาที่รถ เราช่วยกันอยู่เกือบ 2 ชั่วโมง มองดูรถเชฟสีขาวสะอาดเอี่ยม คราบเลือดที่เคยติดแห้งกรังหมดไปแล้ว แต่คราบที่ติดอยู่ในใจผมไม่เคยเลือนหาย
ผองวีรชนยังสถิตอยู่ในใจ
ภาพเหตุการณ์ในวันนี้ยังจำติดตามาจนทุกวันนี้ ภาพระเบิดที่ลงมาต่อหน้า ภาพเพื่อน ๆ ที่ล้มลงกระจัดกระจาย เสียงตะโกน เสียงหวีดร้อง ท่ามกลางความโกลาหล ภาพเพื่อนที่ร่างโชกไปด้วยเลือด ผมขับรถตะบึงไปส่งเพื่อนที่โรงพยาบาล เสียงโห่ร้องให้กำลังใจจากมวลชนสองข้างทางยังคงก้องอยู่ในใจ มอเตอร์ไซค์เป็นกลุ่มขับนำเปิดทางยังอยู่ในภาพความทรงจำ
จนกระทั่งทุกวันนี้ ทุกครั้งที่ผมผ่านย่านสยามสแควร์ ภาพเหตุการณ์ที่ฝังลึกในความทรงจำมักจะปรากฏให้เห็น เหมือนกับเรื่องเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน
สรุปความเสียหายในวันนั้น มีผู้บาดเจ็บ 73 คน ส่วนใหญ่เป็นนักเรียน / นักศึกษา เสียชีวิต 4 ราย จำได้ว่าเป็นนักศึกษารามคำแหง 1 รายชื่อแก้ว (เป็นพี่ชายของเพื่อน ศรท.) อีก 3 ราย จำไม่ได้ ใครมีข้อมูลหรือรายชื่อของผู้ที่บาดเจ็บและเสียชีวิต ช่วยส่งให้ผมด้วย ผมอยากบันทึกไว้ให้คนรุ่นหลังได้รับรู้
ในช่วงเวลา 2 ปีกว่า หลังเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 ขบวนของชาวนา กรรมกร นักศึกษา ประชาชน ที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย และความเป็นธรรมในสังคม ถูกคุกคามและเข่นฆ่าตลอดมา
หลังเหตุการณ์นี้เดือนกว่า ต้นเดือนพฤษภาคม ผมตัดสินใจออกเดินทางไกล แสวงหาหนทางต่อสู้ ผมจะไม่ยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำอยู่เพียงฝ่ายเดียวอีกแล้ว ตอนนั้นไม่มีใครใน ศรท. ที่รู้ว่าผมหายไปไหน
วันนี้ที่นั่งบันทึกเรื่องนี้ ผมยังแว่วเสียงเพลงนี้อยู่ในหัว
“ตายสิบเกิดเป็นแสนเพื่อถมแทนผู้สูญดับ
เคียวคมประกายแสงจรัสแรงคมกล้า
ฟันเฟืองจักรผันเพื่อลงทัณฑ์ผู้เอาเปรียบ
นักศึกษาประชาชนทั้งมวลชนผู้ขมขื่น
รวมกันหยัดยืนแม้ดาบปืนจะฟันฝ่า....”
49 ปีผ่านมาแล้ว พวกเรากลับมาใช้ชีวิตตามวิถีของแต่ละคนมาหลายปีแล้ว สภาพบ้านเมืองเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมากมาย แต่ผมมองว่าเป็นการเปลี่ยนแต่ในด้านปริมาณหรือกายภาพของเมือง แต่ในด้านคุณภาพหรือเนื้อหายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย การกดขี่ขูดรีด เอารัดเอาเปรียบ สังคมที่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก มือใครยาวสาวได้สาวเอา ยังคงเป็นอยู่เหมือนเดิม และนับวันจะลึกซึ้งถึงเลือดถึงกระดูกยิ่งกว่าเดิม การหลอกลวงมอมเมาประชาชนนับวันจะหนักข้อกว่าเดิม เสรีภาพและประชาธิปไตยที่เราเคยเรียกร้องต่อสู้เพื่อให้ได้มา หลั่งเลือดและเสียชีวิตไปไม่รู้เท่าไหร่ก็ยังคงไม่ได้มาอย่างสมบูรณ์สักที ชนชั้นขุนศึกและศักดินาก็ยังคงมีอำนาจอยู่เหนือหัวประชาชนเหมือนเดิม จักรพรรดินิยมอเมริกาก็นับวันเติบใหญ่ และยังคงเล่ห์เหลี่ยม ใช้วิธีทั้งปลอบและขู่เพื่อคงไว้ซึ่งอำนาจและอิทธิพลครอบงำประเทศไทย และภูมิภาคแถบนี้เหมือนเดิม รูปแบบเปลี่ยนไป แต่เนี้อหาไม่เคยเปลี่ยน สุดท้ายนี้ผมขอถามสั้น ๆ “เราจะสู้หรือยอมจำนน”
ผมใช้เวลากว่า 4 เดือนจึงบันทึกเรื่องนี้จบ ที่ต้องใช้เวลายาวนาน ไม่ใช่ว่าต้องนั่งทบทวนรื้อฟื้นความทรงจำอะไร ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างยังอยู่ในความทรงจำ เพียงหลับตาคิดถึงภาพในความทรงจำก็พรั่งพรูออกมาเหมือนนั่งดูภาพยนตร์ เพียงแต่เมื่อตั้งต้นเขียนไปไม่กี่บรรทัด ผมไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ นั่งเขียนต่อไม่ได้ เมื่อนั่งเขียนแต่ละครั้งจึงเขียนได้ไม่มากนัก
บันทึกโดย ครูส่อง (“ป้อม รถเชฟ”)
*ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์วันที่ 21 มีนาคม 2519
1. นายธเนศ เขมะอุดม นักศึกษา ม.รามคำแหง
2. นายแก้ว เหลืองอุดมเลิศ นักศึกษา ม.รามคำแหง
3. นายโกมล แซ่นิ้ม ประชาชน
4. เด็กชายวัยประมาณ 12-13 ปี ไม่ทราบนาม (ไม่มีญาติมาแสดงตัว)
……
สุดท้ายขอเพิ่มเติมรายละเอียดของบุคคลและสถานที่ที่ได้กล่าวถึงให้พอเข้าใจโดยสังเขปดังนี้
1.สถานที่รถเชฟไปจอดและล้างรถในวันนั้นคือ ตึกสันทนาการ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ตึกนี้เป็นที่ทำการของสหพันธ์นักศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ศูนย์กลางนักเรียนแห่งประเทศไทย ได้รับความอนุเคราะห์จากสหพันธ์ฯให้ร่วมใช้ตึกสันทน์ฯเป็นที่ทำการด้วย
2.พี่จุ้ย นักศึกษาแพทย์มหิดล หลัง 6 ตุลา เข้าป่า และเสียสละในสนามรบ เขตงานอีสานใต้
3.พี่สหายเทพ นักศึกษาแพทย์มหิดล
4.หาญ นักเรียนชั้น ม.ศ.5 ร.ร.วัดเขมาภิระตาราม ผปง.ศรท.
5.นิด นักเรียนชั้น ม.ศ.5 ร.ร.สตรีมหาพฤฒาราม ผปง.ศรท.
6.ศรท. คือศูนย์กลางนักเรียนแห่งประเทศไทย
7.ป้อม รถเชฟ นักเรียนชั้น ม.ศ.5 ร.ร.สวนกุหลาบวิทยาลัย ผปง.ศรท. เป็นคนขับและรับผิดชอบดูแลรถเชฟ ตั้งแต่ปลายปี 2517 จนถึงเดือนพ.ค.2519
8.รถเชฟ คือรถเชฟโรเลตของ ศนท. เป็นรถกระบะอเมริกันคันใหญ่กว่ารถกระบะทั่วๆไป พวงมาลัยรถอยู่ด้านซ้าย มีคนที่ขับได้ไม่กี่คน เป็นรถที่รับส่งวงดนตรีกรรมาชนไปแสดงตามเวทีโรงงานต่างๆที่มีการประท้วงนัดหยุดงาน ไปทุกการชุมนุมทางการเมือง ทั่วกรุงเทพฯและปริมณฑล
เรื่องราวของรถเชฟ ศรท. ตึกสันทน์ฯ การกวนกาวติดโปสเตอร์ จะทำบันทึกเผยแพร่ให้รับรู้กันในโอกาสต่อไป
สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก
รำ